วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

“ดูไบ มอลล์” (Dubai Mall) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 9 ล้านตารางฟุต ประกอบด้วยหลายส่วนใหญ่ๆ อาทิ ส่วนของร้านค้าจำนวนประมาณ 1,000 ร้าน ส่วนของร้านอาหาร ส่วน Dubai Ice Rink ซึ่งเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งคล้ายกับลานสเก็ตน้ำแข็งที่เวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์บ้านเราแต่ก่อนนั่นเอง และส่วนของอควอเรียม (Dubai Aquarium & Underwater Zoo) ซึ่งเป็นอควอเรี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสัตว์น้ำมากกว่า 33,000 ชนิด

โรงแรมที่แพงที่สุดในโลกค่ะ :P

โรงแรมนี้เชื่อว่าเป็น โรงแรมที่แพงที่สุดและ ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้
โรงแรมนี้ เข้าไปฟรีๆเหมือน โรงแรมอื่นไม่ได้นะ แค่จะเข้าไปถ่ายรูปต้องเสียตัง
แล้วก็ มีรถ ลีมูซีนอย่างดี ไปรับไปส่งท่านถึงหน้าประตูโรงแรมค่ะ

เชื่อว่า ถ้า เค้าหาวิธีที่จะไปส่งท่านถึงเตียงได้โดยท่านไม่ต้องเดินเค้าก็คงทำไปแล้ว
55
โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ทำให้ Dubai ขึ้นชื่อประเทศ ท่องเที่ยว เลยนะ

คิดดูสิ สำคัญไฉน

ซึ่ง โรงแรมนี้ เนี่ย ไม่ได้มีห้องพักแบบธรรมดานะคะ ทุกห้องเป็น Suite หมด

ห้องที่เล็กที่สุด กินเนื้อที่ถึง 169 ตารางเมตรแน่ะ

ห้องที่ใหญ่สุดก็กว่า 780 ตารางเมตร ซึ่ง ราคาที่พัก เริ่มต้นที่
US$1000-US$15000

The Royal suite
ห้องที่แพงที่สุดราคาตกที่ US$28000ต่อคืนนะ

และเป็นโรงแรมที่มี โถง Lobby สูงที่สุดด้วยค่ะ สูง 590 ฟุต

5 วิธีทำให้ตัวเองดูดีและน่ารัก :P


เวลาพูดถึงคำว่า "บุคลิกภาพ" มักมีคำว่า "เสน่ห์" รวมอยู่ด้วยทุกครั้ง และการจะมีเสน่ห์ได้ คนๆ นั้น จะต้องทำตัวให้ดูน่ารักด้วย วันนี้เรามี 5 วิธี เพิ่มความน่ารักให้ตัวเองมาฝากกัน

1. อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว

แน่นอนว่าคนจะน่ารักได้ ต้องดูแลให้ตัวเองดูดีด้วย ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า จะต้องแต่งสวยหล่อกันเต็มที่ แค่เพียงอย่างปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป แม้หน้าตาไม่สวยหล่ออย่างสมบูรณ์แบบ แต่หากมีความเกลี้ยงเกลา สะอาด และดูสุขภาพดี ก็ย่อมเป็นที่สะดุดตาน่ามอง ยิ่งรักษาหุ่นให้ดีเข้าไว้ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง

ทรงผมก็สำคัญ ถ้าเข้ากับรูปหน้าและยุคสมัย ใช้การแต่งกายมาเสริมความน่ารัก โดยเฉพาะเสื้อผ้ากับเครื่องประดับต่างๆ หากเลือกได้อย่างเหมาะสมก็ช่วยเพิ่มความน่ามอง และน่าประทับใจได้อีกด้วย



สุภาพสตรีควรแต่งหน้าเพื่อความเรียบเนียนและสวยงาม พยายามใช้สีใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด ไม่แต่งหน้าจัด แต่เคล็ดลับก็คือ เน้นสิ่งที่สวยที่สุดบนใบหน้าให้เด่นเด้งขึ้นมา เช่น หากรู้ว่าตาสวย จงแต่งตาให้ยิ่งสวย จะด้วยอายแชโดว์เพิ่มความคมโตน่ามอง กรีดอายไลเนอร์เพื่อความโฉบเฉี่ยว ก็ย่อมได้ แต่ต้องไม่รุงรังหรือดูปรุงแต่งมากนัก



หากจมูกสวยอยู่แล้ว ก็เพิ่มความเด่นด้วยเฉดดิ้งกับไลต์ให้จมูกยิ่งโด่ง และเด่นขึ้น หรือถ้ามีปากสวย ก็เลือกลิปสติกสีสวย กลมกลืนกับเสื้อผ้าหน้าผมในวันนั้น มาทาลงไปจะให้ดูเอิบอิ่ม



ที่สำคัญคือกลิ่นกาย หากมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาเตะจมูกยามที่อยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกน่าประทับใจ ควรเลือกน้ำหอมกลิ่นที่สอดคล้องกับบุคลิกของคุณ หรือง่ายที่สุด เลือกกลิ่นที่คุณชอบ ซึ่งหมายถึงกลิ่นที่คุณอยากให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นกลิ่นกายของคุณนั่นเอง ฉีดตามจุดสำคัญๆ พอประมาณ เพื่อให้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ อย่าให้มากจนหอมฉุน



ที่หลายคนไม่ค่อยระวังก็คือ กลิ่นเท้า โดยเฉพาะสุภาพบุรุษทั้งหลาย กลิ่นเท้าก็ดี กลิ่นถุงเท้าก็ดี กลิ่นรองเท้าก็ดี ควรหมั่นตัดเล็บเท้าให้สั้น สะอาด ทำความสะอาดเท้าทุกวัน และตรวจดูว่าตัวเองเป็น "โรคเท้าเหม็น" หรือไม่ หากเป็นจะได้ทำการรักษาให้ทุเลาลง



2. พูดจาให้น่ารัก

จะให้น่ารักน้ำเสียงต้องไพเราะ ไม่ต้องดัดเสียง ทำเสียงสูง แอ๊บแบ๊ว หรือเสียงดังเรียกร้องความสนใจ แต่พูดจากความรู้สึกจริงๆ จริงใจ และสุภาพ พูดด้วยจังหวะที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป เสียงดังพอเหมาะแก่การฟัง มีหางเสียง ค่ะ ครับ และพูดให้ชัดเจน ถูกอักขรวิธี ร.เรือ ล.ลิง คำควบกล้ำ วรรคตอน ต้องถูกต้องเพื่อให้การสื่อสารไม่ผิดพลาด



ที่สำคัญพูดแล้วต้องมีประเด็น มีเป้าหมายในการพูด เช่น พูดเพื่อให้สบายใจ พูดเพื่อแสดงความเป็นกันเอง ลดความประหม่าตื่นเต้นหรือความรู้สึกแปลกหน้าให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง พูดเชิญชวน พูดจูงใจ พูดเพื่อบอกกล่าวเรื่องหนึ่งเรื่องใด หรือแม้แต่พูดเพื่อให้คนฟังสนุก เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายของการพูด ซึ่งจะทำให้การพูดแต่ละครั้งมีคุณค่า เหมาะสมแก่กาลเทศะนั้นๆ และคนฟังไม่เบื่อ ไม่รำคาญ



3. มีท่าทีที่น่ารัก
ท่าทีที่น่ารักก็คือ ความสุภาพ ผ่อนคลาย ให้เกียรติ ไม่เหยียดหยามด้วยสีหน้า แววตา คำพูด หรือภาษากายอื่นๆ เช่น ยืนกอดอกด้วยท่าทีระวังตัว จ้องตาเขม็ง มองตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า หรือมองด้วยหางตาอย่างหมิ่นแคลน เหล่านี้เป็นต้น

คนยิ้มแย้มแจ่มใส ดูจริงใจ และเป็นมิตร จะมีแรงดึงดูดให้คนเข้าหา เขาจะสัมผัสได้ถึงความปลอดภัย ความเป็นกันเอง การเปิดกว้าง และการให้เกียรติที่คุณสื่อสารผ่านท่าทาง เขาจะรู้สึกผ่อนคลายเมื่ออยู่ใกล้คุณ สบายใจและสุขใจที่จะสนทนาด้วย และจดจำได้ว่าคุณน่ารักแค่ไหน



4. มีจิตใจที่น่ารัก

จิตใจที่ดีจะส่งผ่านการกระทำที่น่ารัก เช่น ยิ้มหวาน รู้จักทักทาย กล่าวคำขอบคุณ ขอโทษ คิดถึง เป็นห่วง และรัก ได้อย่างเต็มใจ จริงใจ และน่าประทับใจ จงจำไว้ว่า อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อเราอย่างไร จงปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นก่อนเสมอ



5. มีธรรมชาติและมารยาทที่น่ารัก



มีมารยาทตามกาละเทศะ หากอยู่ในที่สาธารณะเจอผู้ใหญ่ก็ต้องยกมือไหว้ เดินผ่านผู้ใหญ่ก็สำรวม เก็บอาการ และให้เกียรติ ไม่ยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ ไม่แซงคิวคนอื่น ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ในที่ส่วนตัวก็มีความเป็นกันเอง สงบ และสำรวม พูดง่ายๆ ว่าเป็นคนรู้กาลเทศะ และเป็นเช่นนั้นเสมอในทุกๆ ที่



รู้วิธีปฏิบัติตัวให้ดูน่ารัก และมีเสน่ห์ในสายตาคนอื่น หากใครทำได้ รับรองว่า จะมีคนรักคุณขึ้นอีกเป็นกองเลย




























































































































































































































London

This article is about the capital of England and the United Kingdom. For other uses, see London (disambiguation).

From upper left: City of London, Tower Bridge and London Eye, Palace of Westminster
London region in the United Kingdom
Coordinates: 51°30′26″N 0°7′39″W / 51.50722°N 0.1275°W / 51.50722; -0.1275Coordinates: 51°30′26″N 0°7′39″W / 51.50722°N 0.1275°W / 51.50722; -0.1275

Sovereign state United Kingdom


Constituent country England


Region London


Ceremonial counties City and Greater London


Districts City and 32 boroughs


Settled by Romans as Londinium c. AD 43


Headquarters City Hall


Government


- Regional authority Greater London Authority


- Regional assembly London Assembly


- Mayor of London Boris Johnson


- UK Parliament


- London Assembly


- European Parliament 74 constituencies


14 constituencies


London constituency


Area


- London 1,572.1 km2 (607 sq mi)


Elevation[1] 24 m (79 ft)


Population (July 2010 est.)[2]


- London 7,825,200


- Density 4,978/km2 (12,892/sq mi)


- Urban 8,278,251


- Metro 13,945,000


- Demonym Londoner


- Ethnicity

(June 2009 estimates)[3] Ethnic groups[show]69.7% White59.5% White British2.2% White Irish8.0% White Other 3.5% Mixed1.0% Black Caribbean & White0.5% Black African & White1.0% South Asian & White1.0% Other mixed 13.2% South Asian6.2% Indian2.8% Pakistani2.2% Bangladeshi2.0% Other South Asian 10.1% Black5.3% Black Caribbean4.0% Black African0.8% Other Black 3.5% East Asian or Other1.5% Chinese2.0% Other

Time zone GMT (UTC±0)


- Summer (DST) BST (UTC+1)


Postcode areas E


, EC , N , NW , SE , SW , W , WC , BR , CM , CR , DA , EN , HA , IG , KT , RM , SM , TN , TW , UB, WD
Area code(s) 020, 01322, 01689, 01708, 01737, 01895, 01923, 01959, 01992


Website london.gov.uk
London i/ˈlʌndən/ is the capital city of England and the United Kingdom, the largest metropolitan area in the United Kingdom, and the largest urban zone in the European Union by most measures.[note 1] Located on the River Thames, London has been a major settlement for two millennia, its history going back to its founding by the Romans, who called it Londinium.[4] London's ancient core, the City of London, largely retains its square-mile medieval boundaries. Since at least the 19th century, the name London has also referred to the metropolis developed around this core.[5] The bulk of this conurbation forms the London region[6] and the Greater London administrative area,[7][note 2] governed by the elected Mayor of London and the London Assembly.[8]
London is a leading global city, with strengths in the arts, commerce, education, entertainment, fashion, finance, healthcare, media, professional services, research and development, tourism and transport all contributing to its prominence.[9] It is the world's largest financial centre alongside New York City[10][11][12] and has the largest city GDP in Europe.[13] It has the most international visitors of any city in the world[14] and London Heathrow is the world's busiest airport by number of international passengers.[15] London's 43 universities form the largest concentration of higher education in Europe.[16] In 2012 London will become the first city to host the modern Summer Olympic Games three times.[17]
London has a diverse range of peoples, cultures and religions and more than 300 languages are spoken within its boundaries.[18] In July 2010 Greater London had an official population of 7,825,200, making it the most populous municipality in the European Union.[2][19] The Greater London Urban Area is the second-largest in the EU with a population of 8,278,251,[20] while London's metropolitan area is the largest in the EU with an estimated total population of between 12 million[21] and 14 million.[22] London had the largest population of any city in the world from around 1831 to 1925.[23]
London contains four World Heritage Sites: the Tower of London; Kew Gardens; the site comprising the Palace of Westminster, Westminster Abbey, and St Margaret's Church; and the historic settlement of Greenwich (in which the Royal Observatory marks the Prime Meridian (0° longitude) and GMT).[24] Other famous landmarks include Buckingham Palace, the London Eye, Piccadilly Circus, 30 St Mary Axe ("The Gherkin"), St Paul's Cathedral, Tower Bridge, Trafalgar Square and Wembley Stadium. London is home to numerous museums, galleries, libraries, sporting events and other cultural institutions, including the British Museum, National Gallery, British Library, Wimbledon and 40 theatres.[25] London's Chinatown is the largest in Europe.[26] The London Underground is the oldest underground railway network in the world[27] and the second-most extensive (after the Shanghai Metro).[28]










































 









 















หนูเป้นอันตรายจากมือถือ ลูกคลื่นแรมปีทำให้ความจำเสื่อมขึ้น ...

นักวิจัยกลุ่มชาติสแกนดิเนเวีย ลองจับหนูให้ถูกคลื่นของโทรศัพท์มือถือ อาทิตย์หนึ่งไม่น้อยกว่า 2 ชม.


นานเป็นเวลาปีกว่า พบว่าพวกมันพากันมีความจำเสื่อมไปตามๆกัน
พวกเขาได้ทดสอบความจำ โดยปล่อยมันให้อยู่ในกล่อง ซึ่งมีของวางอยู่ด้วยกัน 4 อย่าง ระหว่างนั้นจะจับย้ายที่และเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ไปสองครั้ง แต่ก่อนหน้าจะทดสอบจริง ก็จะเคลื่อนย้ายของอีกหนหนึ่ง ด้วยการวางของไว้ 2 สิ่ง ตรงที่ที่เคยอยู่เมื่อคราวย้ายหนแรก และตั้งอีกสองสิ่งที่เหลือ วางไว้ตรงที่ที่เคยอยู่เมื่อคราวถูกย้ายหนที่สอง ปรากฏว่าหนูทดลองสังเกตพบความแตกต่างได้น้อยลง

นักวิจัยของคณะศัลยแพทย์ประสาท มหาวิทยาลัยลันด์แห่งสวีเดน เชื่อว่าผลการค้นพบ เกี่ยวพันกับผลการศึกษาที่เคยทำมาก่อน นั่นคือคลื่นการแผ่รังสีไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือ อาจจะกระทบกับสิ่งที่เป็นเรื่องป้องกันเลือดกับสมองได้ สิ่งนั้นคอยป้องกันสารที่ปนอยู่ในเลือด ไม่ให้แทรกซึมเข้าไปถึงเนื้อเยื่อสมอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ประสาทได้.
ประโยชน์ของมะนาว



มะนาวเป็นผลไม้พื้นๆที่ใช้บริโภคกันในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่ามะนาวลูกเล็กๆนั้น มีประโยชน์ในการรักษาโรคต่างๆได้มากมายหลายโรคด้วยกัน ไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่ใช้มะนาวรักษาโรค ประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น มาเลเซีย จีน และอินเดีย เขาก็ใช้มะนาวกัน ประเทศเพื่อนบ้านที่ไกลออกไป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศแถบอเมริกาตะวันตกก็ใช้มะนาวแก้ไอและรักษาโรคอื่นๆเช่นเดียวกัน รายได้เสริมทำผ่าน net ทำจากที่บ้าน/ที่ทำงาน รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ สนใจสมัครที่ www.abc.321.cn


ประโยชน์ของมะนาวในแง่การนำมาใช้เป็นสมุนไพร มีดังนี้ 1. แก้ไอออกเลือด (ไอมีเลือดปน) - ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา มะนาว 4 ลูก เกลือ 1 ช้อน หรือประมาณ 3-4 เม็ด ผสมให้เข้ากันดี ให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน ใช้จิบทุกครั้งที่ไอ -ใช้มะนาว 108 ใบ เบี้ยจั๊กจั่น 11 ตัว ปูนขาวหนักประมาณ 4 บาท วิธีทำ คั้นน้ำมะนาว ใส่เบี้ยจั๊กจั่นและปูนขาวปนกัน ดองประมาณ 3 คืน รับประทานครั้งละจอกชา แก้ไอออกเลือดดี



2. ต่อมทอนซิลอักเสบ เอาน้ำมะนาว น้ำผึ้งและปูนขาวผสมดื่ม แก้ทอนซิลอักเสบ


3.แก้ซาง,ตุ่มในคอเด็ก,เสมหะ - เมล็ดมะนาวขับเสมหะแก้โรคซางของเด็ก แก้เม็ดยอดในปากโดยเอาเม็ดมะนาวเผาไฟ บดให้ละเอียด ใช้น้ำมะนาวหรือรากของมะนาวฝนกันน้ำเป็นกระสาย ผสมเข้าด้วยกัน แล้วกวาดซางเด็ก - ให้เอาน้ำมะนาว 1 ช้อนชา แล้วเอารากมะนาวฝนให้ข้นดี แล้วจึงเอาไปล้วงคอเด็กสัก 2-3 ครั้งก็หาย - ใช้เม็ดมะนาวเคี้ยวกิน ขับเสมหะ ใช้ติดต่อกัน 7 วัน ได้ผลดี


4. แก้เสียงแหบแห้ง - มะนาวทำให้เสียงไม่แหบแห้ง ตื่นตอนตอนเช้าทุกครั้งให้ผ่ามะนาวครึ่งหนึ่ง จิ้มเกลือบีบน้ำลงคอกลืนกิน ทำทุกเช้าทุกวัน ทำให้เสียงไม่แหบแห้ง


5. ก้างติดคอ - เมื่อก้างปลาติดคอ เอามะนาว 1 ลูกคั้น เอาแต่น้ำ เติมเกลือ น้ำตาลนิดหน่อยกรอกลงไปให้ตรงก้างที่ติดคอ อมไว้สักครู่ แล้วจึงค่อยกลืน ก้างจะอ่อนตัวหลุดลงไปในกระเพาะ - ก้างปลาติดคอซึ่งเป็นชิ้นเล็กๆ เมื่อกลืนน้ำลายจะทำให้รำคาญเท่านั้น ให้ผ่ามะนาวแล้วนำมาอมไว้ในปาก อมจนรู้สึกรสเปรี้ยวของมะนาวเจือจางสัก 2-3 หน จะทำให้ก้างหลุดออกไปได้


6. แก้ไข้ - นำใบมะนาวมาหั่นฝอยๆ ชงด้วยน้ำเดือด ดื่มแบบน้ำชาจะช่วยลดไข้และใช้อมกลั้วคอฆ่าเชื้อโรคได้อีกด้วย - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตกนิยมใช้เปลือกรากมะนาวต้มเป็นยาแก้ไข้อย่างดี และใช้ใบทำเป็นยาชงกินแก้ไข้ที่มีอาการตัวเหลืองเล็กน้อย นอกจากนี้ยังใช้น้ำมะนาวดื่มแก้กระหายน้ำ แก้ไข้อีกด้วย - ที่ประเทศอินเดีย ถ้าเป็นไข้หวัดใหญ่ นิยมรักษาโดยดื่มน้ำมะนาวแล้วพักผ่อน ถ้าเป็นไข้หวัดธรรมดา จะรับประทานผลอินทผลัมและดื่มน้ำมะนาวรักษา


7. แก้ไข้ทับระดู เอาใบมะนาว 100 ใบ มาต้มกินแล้วหาย


8. แก้ปวดศีรษะ - เอามะนาวมาฝานเป็นซีกบางๆ แล้วเอาปูนที่กินกับหมาก ละเลงด้านหน้าของซีกมะนาวนั้นบางๆ แล้วปิดตรงขมับ ทำอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ อาการปวดก็ค่อยหายดีขึ้นทุกวัน - ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำตาลสัก 1 แก้ว ดื่มตอนเช้า ช่วยให้หายจากโรควิงเวียนและปวดหัว - ชาวมาเลเซีย ใช้ใบมะนาวผสมกับน้ำมะนาว บดทำเป็นยาใส่ผมแก้ปวดศีรษะ - ประเทศในทวีปอาฟริกาตะวันตก ใช้ใบมะนาวตำให้ละเอียดถูศีรษะหรือเคี้ยวรากมะนาวแก้ปวดศีรษะ


9. แก้เลือดออกตามไรฟัน - เกิดจากการขาดวิตามินซี ทำให้เหงือกบวมและมีเลือดออกตามไรฟันเป็นประจำ หรือมีเลือดออกได้ง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล มีจุดพรายย้ำขึ้นตามผิวหนัง อาจมีเลือดออกจนซีดได้ ถ้าอาการรุนแรง จะมีอาการปวดน่อง ข้อเท้าบวม การรักษาให้กินมะนาวหรือผลไม้เปรี้ยวๆ เช่น ส้ม จะแก้ได้ - แก้โรคลักปิดลักเปิดหรือเลือดออกตามไรฟัน ใช้มะนาวถูฟันสักพักเลือดก็จะหยุด


10. แก้เหงือกบวม ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่เหงือกวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น


11. แก้ลิ้นเป็นฝ้า ใช้ลำสีชุบมะนาวเช็ดที่ลิ้นวันละ 3ครั้ง


12. ขจัดคราบบุหรี่ ใช้มะนาวถูฟันที่มีคราบบุหรี่จับ เมื่อใช้มะนาวถู คราบนั้นจะหาย ถ้าฟันผู้ที่รับประทานหมากต้องถูกบ่อยๆ ถ้าจับมากหลายวันแล้วต้องถอดฟันแช่น้ำมะนาวไว้ค้างคืน (หมายถึงผู้ใส่ฟันปลอมนะ) ฟันจะขาวสะอาดเงางาม


13. ยาบ้วนปาก บีบน้ำมะนาวลงในแก้วสัก 2-3 หยดเท่านั้น บ้วนปากได้สะอาดยอดเยี่ยม


14. แก้เป็นลมวิงเวียน อยากอาเจียน - ใช้มะนาวผ่าซีก โรยเกลือป่น เหยาะน้ำตาลทรายขาวสักนิดบีบกินลงไปพักเดียวหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้จากการตั้งครรภ์ เมารถ แพ้อากาศ มะนาวช่วยคุณได้ - ใช้มะนาวจิ้มเกลืออมไว้ในปากสักครูจะรู้สึกสดชื่นจากการเป็นลมวิงเวียน หน้ามืดได้ - ใช้เปลือกมะนาวแกะออกแล้วบีบหรือดมใกล้จมูก แก้เป็นลม วิงเวียน หน้ามืดตาลาย - ด้านประเทศฟิลิปปินส์และประเทศจีน ใช้เปลือกลูกมะนาวขยี้ใก้ดมแก้คลื่นไส้หรือเป็นลม หมอพื้นเมืองชาวอินเดีย นิยมใช้น้ำมะนาวแก้อาเจียน


15. แก้วิงเวียนเมื่อคลอดบุตร - เอามะนาวปอกใส่ภาชนะ 2-3 ลูก เพื่อให้คนที่คลอดบุตรนั้นกินแก้วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย - เอามะนาว 3 ผล เกลือป่นและพริกไทยป่นพอควร ละลายด้วยน้ำร้อน แทรกเหล้าโรงประทาณให้ได้สักครึ่งถ้วยชา เวลาตกฟากรับประทาน 1 ครั้ง หรือรับประทาณต่อไปอีกก็ได้ 16. แก้เมาเหล้า เมายา - ดื่มน้ำมะนาวหรืออมกับเกลือ สำหรับคนเมาเหล้าหรือวิงเวียนจะเป็นลม


17. แก้ลมเงียบ เอาใบมะนาวมาต้มกินกับยาหอมประมาณ 1 อาทิตย์


18. แก้ตาแดง เอามะนาวผ่า แล้วเอาเมล็ดในออกให้หมด แล้วก็บีบเอาน้ำมะนาวหยอดลงในตกทั้ง 2 ข้างหลายๆหยด สัก 1-2 นาที พอหายแสบแล้วล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด เช็ดหน้าเรียบร้อยแล้วก็สบาย และใช้มะนาวต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหายตาแดง


19. บำรุงตา ใช้มะนาวสดทั้งลูกฝานตามที่เห็นสมควร แล้วบีบใส่ตาประจำ ประมาณเดือนหรือสองเดือนครั้งก็ใช้ได้ (เนื่องจากตาเป็นอวันวะที่บอบบางมาก และน้ำมะนาวนั้นหยอดลงไปแล้วจะรู้สึกแสบตา ดังนั้น เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นจึงไม่ควรใช้น้ำมะนาวนี้หยอดตา)


20. บำรุงผิว เอาเปลือกที่บีบเอาน้ำออกแล้ว นำมาทาบริเวณข้อศอก คาง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ช่วยให้ส่วนเหล่านั้นนุ่มนวลได้อย่างดี
21. แก้ผิวแตก ใช้มะนาวทาผิวหนังทำให้ชุ่มชื้น ไม่แตกกร้านในช่วงอากาศแห้ง



22. แก้สิวฝ้า - ในกรณีที่สิวไม่มีการอักเสบติดเชื้อเป็นหนอง การรักษาอย่างง่ายที่ถูกวิธี คือ การทำความสะอาดใบหน้า เพื่อลดไขมันและกำจัดสิ่งอุดตันตามรูขุมขนบนใบหน้า หรือบริเวณอก คอ ที่มีสิวขึ้น ฉะนั้นมะนาวจะช่วยรักษาสิงให้ลดน้อยลงได้ เพราะน้ำมะนาวมีสภาวะเป็นกรดอ่อนๆจะทำให้เนื้อเยื่อที่ตามแล้วหลุกออกไป ทำให้ลดการอุดตันของรูขุมขน กรดอ่อนๆจะช่วยกำจัดเชื้อโรคและช่วยกำจัดไขมันได้บ้าง วิธีใช้ คือ ล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดาให้สะอาดแล้วผ่ามะนาวทาบริเวณที่มีสิวขึ้นให้เปียกชุ่มจนทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออกด้วยสบู่อีกครั้ง ทำเช่นนี้วันละ 1-2 ครั้ง เช้าและเย็น - ใช้แป้งดินสอพองกับน้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นสิวก่อนนอนทุกวัน สิวจะค่อยๆยุบหายไปในที่สุด - ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ช้อนชา ผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเอาไปแต้มที่ตุ่มสิว หรือผู้ที่ไม่มีสิว ใช้ทาบางๆทั่วไปประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสบู่ หน้าจะนิ่มนวลอยู่เสมอ


23. ลบรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นจากอุบัติเหตุ ใช้น้ำมะนาวผสมดินสอพองทาบริเวณที่เป็น ทำให้หน้าไม่ดำ หรืออาจใช้ใบมะลิสดตำผสมเพิ่มเข้าไปอีกก็ได้


24. แก้ขาลาย คนที่มีขาลายเป็นจุดด่างดำเม็ดเล็กๆนั้น แก้ได้โดยเอาน้ำมะนาวบีบใส่ดินสิพองหมาดๆ แล้วทาทุกๆคืนก่อนนอน พอรุ่งเช้าก็ล้างออก ทำอย่างนี้ทุกวัน ไม่นานวันรอยด่างดำก็ลบหายไปเอง


25. แก้น้ำเหลืองเสีย ใช้ใบมะนาว 108 ใบกับเกลือหรือดีเกลือ 2 บาท หรือประมาณ 3 ช้อนคาวรวมกัน ต้มรับประทานเป็นยาระบายถ่ายน้ำเหลืองเสีย รับประทานครั้งละครึ่งถ้วยแก้วกลาง วันละ 1 ครั้งก่อนเข้านอน


26. แก้ส้นเท้าแตก เอามะนาวสดผ่าซีกแล้วบีบมะนาวให้หยดลงบนบริเวณที่เป็นแผลนั้น เพียงวันละ 2-3 ครั้ ภายใน 7 วัน โรคส้นเท้าแตกจะหายไปเอง


27. ดับกลิ่นเต่า ใช้น้ำมะนาวทารักแร้ป้องกันกลิ่นเต่า


28. แก้โรคผิวหนัง ประเทศแถบทวีปอาฟริกาตะวันตกและประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวทาแก้โรคผิวหนัง แต่ของอินเดีย เวลาอาบน้ำ ห้ามฟอกสบู่บริเวณที่เป็น


29. แก้กลาก เกลื้อน หิด - นำกำมะถันตำให้ละเอียดบีบมะนาวใส่พอสมควร ทาบริเวณที่เป็นเกลื้อนหลังอาบน้ำและก่อนนอน เคยใช้กับญาติโยมหลายราย ผลออกมาแล้วหายเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ - ใช้มะนาวผ่าซีกแตะผงกำมะถันแล้วมาถูบริเวณที่เป็นหิด กลากเกลื้อนจะกายในเร็ววัน


30. แก้หูด เอาเปลือกมะนาวหมักกับน้ำส้มสายชู 2 วัน ตัดเปลือมะนาวมาปิดที่หูด ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ค้างคืนไว้ รุ่งเช้าจึงเอาออก ให้ทำเช่นนี้นาน 2 อาทิตย์


31. แก้พุพอง ใช้รากมะนาวฝนกับน้ำซาวข้าว ทาแก้พุพอง แสบร้อน


32. แก้น้ำกัดเท้า ใช้มะนาวทาที่เป็นตุ่มคัน น้ำกัดเท้า ทาแล้วทิ้งให้แห้ง ล้างออกด้วยน้ำสบู่ ให้ผ้าเช็ดให้แห้ง แล้วเอาแป้งทา ตุ่มคันก็จะหาย


33. แก้ปูนซีเมนต์กัด เวลาถูกปูนซีเมนต์กัดตามมือ เท้า เอามะนาวมาตัดกลางลูก แล้วบีบน้ำมะนาวตรงที่ปูนกัดก็จะหาย


34. แก้คัน - ใช้มะนาวตัดกลางลูกรมไฟพออุ่น ถูทาตามที่คันภายใน 2-3 วัน จะหาย - เรื่องแก้คันนี้ในประเทศอินเดีย ใช้มะนาวผสมน้ำผึ้ง ทาบริเวณที่คันและเวลาอาบน้ำ อย่าฟอกสบู่บริเวณที่คัน ใช้ทาทุกครั้งเมื่อรู้สึกคัน


35. แก้หนอนคัน แถวชนบทมีตัวหนอนหลายชนิด เมื่อเราไปถูกมันเข้าจะทำให้เนื้อตรงบริเวณนั้นคันมาถึงกับเน่าเปื่อยก็มี ถ้าไปถูกตัวหนอนแล้วคันแต่ยังไม่เปื่อยเป็นแผล ให้เอามะนาวผ่าซีกถูตรงที่คันนั้น แต่ถ้าเปื่อยเป็นแผลแล้ว ให้เอาบานไม่รู้โรยมาตำกับปูนที่กินกับหมากผสมน้ำเล็กน้อย ทาตรงแผยเปื่อยรับรองหาย


36. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย - ใช้ระงับความเจ็บปวดจากพิษแมลงได้ โดยใช้มะนาวพอกบริเวณปากแผลทิ้งไว้ 2-3 นาทีแล้วเปลี่ยนใหม่ทำดูจะหายปวด - ในประเทศจีน ใช้ผลสดคั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่ถูกตะขาบกัด แมลงป่องต่อยทันทีจะแก้ได้


37. แก้สังคัง ใช้มะนาวผ่าซีก ทาก่อนนอนและหลังตื่นนอน เพียงไม่กี่วันก็หาย


38. ใช้สระผม แก้คันศีรษะ - ใช้น้ำมะนาวสระผมทำให้ผมสะอาด หอม - ถ้าคันศีรษะบ่อย ใช้น้ำมะนาวนวดศีรษะให้ทั่วสักครู่ก่อนสระผมจะแก้ได้


39. แก้หัวโน ใช้แป้งดินสอพองผสมน้ำมะนาว ทาตรงที่ช้ำบวมสักพักใหญ่ๆ อาการปวดบวม ปูด ก็จะยุบ หมั่นทาวันละ 1-2 ครั้ง ภายใน 2 วันก็จะหายไปเอง


40. แก้ผิวหนังฟกช้ำ ผสมน้ำมะนาวกับดินสอพองข้นๆ ทาบริเวณที่มีอาการผิวเนื้อถูกกระแทกเขียวฟกช้ำ หรือบวมโน จะหายเป็นปกติ
41.แก้หนามปัก แก้หนามปักคา ใช้มะนาวกับน้ำมันตับปลา ใส่ที่แผลจะดูดหนามออกมาได้



42. แก้เล็บขบ เอามะนาวมาผ่าตรงส่วนหัวออกขนาดพอสอดนิ้วเข้าไปได้ ใช้มีดคว้านเอาเนื้อข้างในออกเล็กน้อย เสร็จแล้วเอาปูนทาบางๆ แล้วเอานิ้วสอดเข้าไป แล้วทิ้งไว้ ทำดังนี้ 2-3 ครั้ง อาการเล็บขบจะหายไป


43. แก้ปลาดุกยัก ใช้มะนาวผ่าซีกแล้วกดหรือถูครงรอยปลาดุกยักสักพักหนึ่ง จะหายปวดภายใน 4-5นาที


44. แก้งูกัด แก้งูกัดให้ปฏิบัติดังนี้ 1. ให้คนเจ็บนอนราบๆ เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนทั่วร่างกายช้าลง และพิษงูจะได้แผ่ซ่านช้าลงด้วย 2. ถ้าถูกงูพิษกัดที่แขนและขา ให้เอาเชือกรัดเหนือแผลหน่อย กะให้รัดอยู่ในระหว่างแผลกับหัวใจของคนเจ็บ การรัดให้รัดพอให้เลือดตรงผิวหนังนั้นหยุดไหลเพื่อกันไม่ให้พิษผ่านเข้าเส้นโลหิตดำเท่านั้น ไม่ต้องรัดแน่นมากจนหลอกเลือดที่อยู่ลึกลงไปพลอยหยุดไหลไปด้วย ถ้ารัดพอดีๆจะสังเกตเห็นน้ำเหลืองไหลซึมออกจากแผลอยู่เรื่อยๆ 3. ใช้ใบมีดโกนที่สะอาดและฆ่าเชื้อแล้ว กรีดลงบนแผลเป็นรูปกากบาท ลึกสัก 1 ใน 8 นิ้ว ยาว สัก 1 ใน 4 นิ้ว ทั้ง 2 เขี้ยว อย่าตกใจว่าจะเสียเลือด เพราะมันจะช่วยล้างพิษออกด้วย ให้ใช้ปากดูดพิษออกมาจากแผลที่กรีด พิษงูจะไม่เป็นอันตรายเมื่อเข้าไปอยุ่ในปาก นอกจากจะมีแผลในปากหรือฟันผุเท่านั้น เมื่อดูดพิษออกมาให้รีบบ้วนทิ้ง แล้ววางน้ำแข็งที่แผลสลับกับการดูดช่วยด้วย และระวังให้แขน ขาที่ถูกงูกัดให้อยู่ต่ำๆไว้ หมายเหตุ ถ้าฟันผุหรือมีแผลในปาก ใช้ขวดอุ่นให้ร้อน (ระวังแตก) เอาปากขวดทาบกับแผล เพื่อช่วยดูดเลือดออกจากแผลแทน 4. ให้กินน้ำมะนาว ขนาดผลโตๆสัก 1 ผล น้ำมะนาวจะไปทำปฏิกิริยากับพิษงูที่แล่นเข้าสู่กระเพาะอาหาร สักครูก็จะอาเจียนออกมา มีเลือดปนเล้กน้อย ซึ่งแสดงว่าพิษงูได้หมดฤทธิ์แล้ว 5.คนเจ็บจะเกิดความมั่นใจและค่อยหายกลัว ให้เขาดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มร้อนๆได้ แต่อย่าให้กินเหล้า พิษงูมันเดินเข้าหัวใจอย่างช้าๆ แต่หลังจากที่ถูกงูกัด อาจปวดมากจนถึงกับช็อค ให้คนเจ็บอยู่เงียบๆ เพราะถ้าไปทำอะไรเข้า จะเป็นการเร่งพิษเดินทางเข้าสู่หัวใจเร็วเข้าอีก ให้ใช้น้ำแข็งหรือผ้าชุบน้ำแข็งวางที่แผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงได้ และรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาล


45. ป้องกันงู เมื่อใช้มะนาวคั้นเอาน้ำหมดแล้ว เอาเปลือกวางท้องเอาไว้ใกล้ๆที่นอน จะทำให้งูไม่มารบกวน เพราะได้กลิ่นมะนาว


46. แก้แมงคาเรืองเข้าหู นำน้ำมะนาวอย่างเดียว กรองด้วยผ้า ใช้หยอดหู แก้แมงคาเรืองเข้าหู ถ้าตัวยังไม่ตายจะหนีออกมา ถ้าไม่หนีออกมาตัวจะตายในหู


47. แก้ฝี - แก้ปวดฝีใช้รากสดฝนกับเหล้าทา - ขูดเอาผิวมะนาว ผสมกับปูนแดงปิด ฝีจะหาย


48. แก้ฝีมะตอย เอามะนาวทั้งลูก มาคว้านไส้ในออกให้เอานิ้วเข้าไปได้ แล้วเอาปูน(กินหมาก)ทาเข้าไปในลูกมะนาวเล็กน้อย แล้วสวมเข้านิ้วที่มีฝีขึ้น


49. แก้แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ให้เอาน้ำมะนาวมาชะโลมบริเวณที่ถูกไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก มีสรรพคุณดับพิษปวดแสบแวดร้อนได้ผล


50. แก้บาดทะยัก เมื่อดถูตะปูตำ หนามเกี่ยว หรือถูกของที่มีคม เอาน้ำมะนาวบีบใส่แผลที่เป็น จะป้องกันบาดทะยักได้


51. แก้ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ - แก้อาการปวดท้อง แน่นท้อง เอาผลมะนาวครึ่งผล บีบเอาน้ำมะนาวใช้กินกับน้ำอ้อย หรือน้ำตาล แก้อาการนี้ได้ - เด็กท้องอืดร้องกวนในเวลากลางคืน เอาปูนเคี้ยวหมากขยี้ลงบนฝ่ามือ บีบน้ำมะนาวคลุกให้ทั่ว แล้วทาท้องด็ก สักครู่เด็กจะผายลม 2-3 ครั้ง แล้วหยุกร้องไห้ หลับสบายตลอดคืน เพราะน้ำมะนาวทำปฏิกิริยากับปูน ให้ความร้อนเกิดความอบอุ่น


52. รักษาโรคกระเพาะ เปลือกผลมะนาว ใช้ชงกับน้ำอุ่ม ดื่มเป็นยาขับลมและแก้โรคกระเพาะได้


53. แก้ท้องผูก ใช้มะนาว ประมาณค่อนแก้วกาแฟ ใส่เกลือเล็กน้อย ให้เค็มพอประมาณ ดื่มทุกวันเป็นยาระบายได้ดี ทำให้เจริญอาหาร


54. แก้ท้องร่วง ประเทศอินเดีย ใช้น้ำมะนาวกับน้ำสะอาดดื่มแก้ท้องร่วง


55. แก้อาหารเป็นพิษ น้ำมะนาว น้ำปูนใส เติมเกลือให้มีรสเค็ม กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ แก้อาหารเป็นพิษ


56. แก้ผิดสำแลง - รากมะนาว ฝนกับน้ำซาวข้าวรับประทานแก้ผิดอาหาร ถ้าได้รากมะนาวหวานยิ่งดี - เอามะนาวบีบเอาน้ำใส่ถ้วย แล้วเอาปูนกินหมากมาแช่น้ำ แล้วเอาน้ำใสๆของปูนมาผสมน้ำมะนาว แล้วรับประทานแก้กินของผิดได้เป็นอย่างดี


57. แก้บิด - ใช้มะนาวกับน้ำผึ้งเอาเท่าๆกัน กินครั้งละ 1 ถ้วยตะไล สัก 2-3 ถ้วย แก้บิดได้ หรือจะผสมน้ำปูนใส อย่างละเท่าๆกัน ก็ได้ผลเช่นกัน - ชาวมาเลเซียใช้รากมะนาวต้มกินแก้บิด


58. ขับพยาธิไส้เดือน ชาวอินเดียใช้น้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งดื่มขับพยาธิไส้เดือน


59. แก้นิ่ว เอามะนาวมา บีบมะนาวแช่หินปูน หากหินปูนละลาย ก็เอารากมะนาวนั้นมาต้มกิน แล้วนิ่วก็คือหินปูนในกระเพาะปัสสาวะจะอยู่ได้อย่างไรก็ต้องละลายออกมาหมดอย่างแน่นอน หากนิ่วก้อนใหญ่ก็ต้องใช้เวลาหน่อย


60. แก้ปัสสาวะกระปริบกระปรอย ใช้ใบมะนาวสดต้มกินกับน้ำตาลแดง ประมาณ 2-3 วันก็หาย


61. แก้ระดูขาว น้ำมะนาว 2 ช้อน เกลือ น้ำตาลนิดหน่อย ผสมน้ำสุก ใส่น้ำแข็งรับประทานแก้และรักษาสตรีมีระดูขาวมากๆ


62. ฟอกโลหิต ใช้ใบมะนาว 7 ใบ ต้มผสมกับน้ำ กินครั้งละ 3 ถ้วยชา วันละ 3 เวลา ได้ผลดี


63. แก้โลหิตจาง ให้เอาผลมะนาวผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ ผสมกับน้ำหวานแล้วปรุงด้วยเกลือทะเลพอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้รับประทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง และทำให้มีฟิวพรรณผุดผ่องมีน้ำมีนวล


64. แก้เหน็บชา ให้เอาลูกมะนาวเท่าอายุคนป่วย ใช้มีดบางคมๆ ผ่าสองเอาหนึ่ง ส่วนที่ไม่เอาแล้วแต่เราจะเอาไปทำอะไร ให้เอาน้ำตาลทรายขาว 1 ลิตร เกลือ 1 ลิตร เอาน้ำ 4 ลิตร ต้มให้เดือด ยกลง พอเย็นหน่อยก็เทใส่ไห แล้วจึงเอามะนาวส่วนที่เอาเทลงดองไว้ในไห ปิดปากไห ไปฝังไว้ในข้าวเปลือก 7 วัน แล้วเอาน้ำมากินให้หมด แล้วเอากากไปตำตากแดดให้แห้ง เอามากินให้หมด โรคเหน็บชาจะหายไป


65. แก้ร้อนในกระหายน้ำ มะนาวสามารถแก้ความกระหายได้ดี กินน้ำมะนาวใส่น้ำแข็งแล้ว จะรู้สึกชุ่มคอ


66. แก้อ่อนเพลีย - ใช้มะนาว 1 ผลครึ่ง บีบเอาแต่น้ำใส่แก้ว แล้วใส่น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำให้ได้ประมาณครึ่งแก้ว กะให้หวานพอดี ดื่มให้หมด จะรู้สึกกระชุ่มกระชวยดี - เวลาฟื้นจากไข้ทานอาหารไม่อร่อยหรือไม่อยากทานอะไรเลยต้องแก้ด้วยอาหารที่มีรสเปรี้ยว ใส่มะนาวหรือชงน้ำมะนาวดื่ม หรือกินมะนาวจิ้มยาหอม หรือกินมะนาวจิ้มเกลือ


67. เป็นยาอายุวัฒนะ - ใช้มะนาว 1 ลูกผ่าออกเอาเม็ดท้อง แล้วคั้นเอาน้ำชงกับน้ำตาล 2 ช้อน และน้ำร้อนพอควร ทำให้แข็งแรงและชุ่มชื่นในลำคอ - ใช้มะนาว 50 ผล น้ำผึ้ง 1 ขวดขาว พริกไทยร่อนครึ่งลิตรเล็ก ตำพริกไทยให้ป่น ใส่ผ้าขาวบางห่อ ใส่โหลดองรวมกันประมาณ 3 วัน นำมากินได้เป็นยาอายุวัฒนะ


68.ยาเจริญอาหาร เอามะนาว 30 ลูกผ่าซีกทั้งเปลือกแล้วเอายาดำหนัก 5 บาท ใส่ดีเกลือเล็กน้อย หร้อมกับเกลือแกงอีกพอประมาณจนรู้สึกว่ามีรสเค็ม เอายาทั้งหมดใส่ขวดโหลดองไว้ประมาณ 3 คืน รับประทานมีสรรพคุณทำให้เป็นยาระบายถ่ายพยาธิ และเจริญอาหาร


69. แก้ความดัน เอาใบมะนาว 108 ใบ ต้มรับประทานแก้โรคความดันต่ำและสูง


70. แก้ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ (โรครูมาติซั่ม) ให้ดื่มน้ำมะนาว ดังนี้ วันที่ 1 ให้ดื่มน้ำมะนาว 2 ผล วันที่ 2 ให้ดื่มน้ำมะนาว 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง วันที่ 3 ให้ดื่มน้ำมะนาว 6 ผล แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 10 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง วันที่ 11 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 2 ผล วันที่ 12 ให้ดื่มน้ำมะนาวใหม่ 4 ผล แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ให้เพิ่มมะนาวเรื่อยๆจนถึงวันที่ 20 ซึ่งใช้มะนาว 20 ผล แบ่งให้วันละ 5 ครั้ง


71. ลดความอ้วน การดื่มเครื่องดื่มต้องใส่น้ำตาลน้อยที่สุด และควรดื่มวันละ 8-10 แก้วทุกวัน ตื่นเช้าควรดื่มน้ำมะนาว 1 ผล ในน้ำอุ่นและขนมปังไม่เกิน 1 แผ่น ก่อนอาหารทุกมื้อควรดื่มน้ำมะนาวครึ่งผลผสมน้ำเย็น ก่อนอาหารกลางวันและอาหารเย็นจะช่วยให้อิ่ม อย่าให้ดื่มขณะที่ทานอาหาร ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาหารไม่ว่ามื้อใด ให้รับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรือน้ำส้ม น้ำมะนาวสักแก้ว


72. ใช้ในครัวเรือน - หุงข้าวให้ขาวและอร่อย บีบน้ำมะนาว 2-3 ช้อนในข้าว แล้วนำไปซาวข้าว เมื่อหุงเสร็จข้างจะขาว สะอาด กินอร่อย ไม่ออกรสมะนาวเลย - นิ้วมือเวลาเด็ดผักหรือหั่นผัก เนื้อใกล้ๆเล็บมือจะเป็นสีดำมองดูน่าเกลียด ใช้มะนาวถูจะแก้ได้ - เวลาใช้มีดผ่าปลีกล้วย มีดจะเป็นสีม่วงคล้ำ ใช้มะนาวผ่าซีกถูตามใบมีด มีดจะสะอาดดังเดิม - ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่ม ขณะตีไข่ให้ใส่มะนาว 4-5 หยด ไข่จะฟูและนิ่ม - การเชื่อมกล้วยหักมุกให้น่ารับประทาน พอน้ำตาลเดือดเป็นยางมะตูม ให้บีบมะนาวครึ่งซีกตาม แต่กล้วยมากหรือน้อยจะช่วยให้กล้วยใสน่าทาน - ถ้าต้มปลาสด ต้องการให้ปลาคงรูปไม่เละ ไม่มีกลิ่นคาว ควรบีบมะนาวลงไปสักนิดหน่อย - ใช้มะนาว 2-3 ผล แทรกไว้ในข้าวสาร จะช่วยป้องกันมอดได้ - เปลือกมะนาวใช้เช็ดภาชนะ ทองเหลือง ทองแดง เครื่องเงิน เครื่องนาค เครื่องเงินจะใหม่ เงางามสุกใสขึ้น






- ฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ 2-3 ลูกใส่ในน้ำเย็น 1 ป๋อง ประมาณ 10 ลิตร เติมการบูร 2 แท่ง ตั้งทิ้งไว้ในห้องที่ทาสีใหม่ๆ ปิดประตู หน้าต่างให้หมด น้ำมะนาวและการบูรจะช่วยดูดกลิ่นสีได้อย่างดี - ผ้าที่เปื้อนน้ำหมาก เปื้อนหมึก ใช้น้ำตาลทรายเล็กน้อย โรยตรงรอยเปื้อนหยดน้ำลงไปพอชุ่ม แล้วถูด้วยมะนาวจะลบรอยเปื้อนได้ - เตารีดร้อนจัดรีดผ้าขาวจะทำให้ผ้าเหลือง ให้เอาน้ำมะนาวทาที่เตารีด ก่อนรีดผ้าจะแก้ได้ - ต้มผ้าให้สะอาด ฝานมะนาว 2-3 ชิ้น ใส่ด้วย ช่วยให้ผ้าสะอาด - ใช้มะนาว เกลือป่น ถูบริเวณที่เสื้อขาวเปื้อนเลือด ซักด้วยน้ำเย็นจะออกหมด - เครื่องใช้ที่เป็นหนังทิ้งไว้นานหลายปีทำให้แข็งกระด้าง เอาน้ำมะนาวขัดถู ทำให้หนังนิ่มแล้วใช้ยาขัดอีกที จะทำให้ดูใหม่ขึ้น
















วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

La tour Eiffel :)



La tour Eiffel est une tour de fer puddlé de 324 mètres de hauteur[o 1] située à Paris, à l'extrémité nord-ouest du parc du Champ-de-Mars, en bordure de la Seine. Construite par Gustave Eiffel et ses collaborateurs pour l'Exposition universelle de Paris de 1889, et initialement nommée « tour de 300 mètres », ce monument est devenu le symbole de la capitale française, et un site touristique de premier plan : il s'agit du neuvième site français le plus visité en 2006, et du premier monument payant visité au monde, avec 6,893 millions de visiteurs en 2007[1].

D'une hauteur de 312 mètres
[o 1] à l'origine, la tour Eiffel est restée le monument le plus élevé du monde pendant 41 ans. Sa hauteur a été plusieurs fois augmentée par l'installation de nombreuses antennes, pour culminer à 324 m. Utilisée dans le passé pour de nombreuses expériences scientifiques, elle sert aujourd'hui d'émetteur de programmes radiophoniques et télévisés.




Sommaire
1 Présentation générale 1.1 Données techniques
1.2 Description de la tour étage par étage 1.2.1 La base
1.2.2 Le premier étage
1.2.3 Le deuxième étage
1.2.4 Le troisième étage
2 Historique 2.1 Contexte
2.2 L'élaboration du projet
2.3 La construction de la tour
2.4 La tour Eiffel de 1889 à la Première Guerre mondiale
2.5 Expériences scientifiques et radiodiffusion
2.6 Le virage de 1937
2.7 La tour depuis la Seconde Guerre mondiale
3 Évocations de la tour 3.1 Protestation des artistes contre la tour
3.2 Peinture
3.3 Photographie
3.4 Littérature
3.5 Cinéma-télévision
3.6 Autres formes artistiques
4 Données chiffrées 4.1 Une tour de très grande hauteur 4.1.1 La place de la tour Eiffel parmi les plus hauts bâtiments de 1889
4.2 Fréquentation de la tour Eiffel
5 Exploitation commerciale 5.1 Différents exploitants
5.2 Revenus de l'exploitation
5.3 Textes officiels
6 Informations diverses 6.1 Les illuminations de la tour
6.2 Les concerts sur ou à côté de la tour
6.3 Les répliques
6.4 Droit d'auteur
6.5 Ventes de tronçons d'escalier
6.6 Plateforme d'observation
6.7 Victor Lustig : « l'homme qui vendit la tour Eiffel »
6.8 Exploits sportifs
6.9 Les accidents
6.10 Écoulement de l'électricité
6.11 Émetteurs 6.11.1 FM-Radio
6.11.2 TV
7 Notes et références
8 Pour approfondir 8.1 Galerie d'images
8.2 Ressources documentaires
8.3 Articles connexes
8.4 Liens externes






Contestée par certains à l'origine, la tour Eiffel fut d'abord, à l'occasion de l'
exposition universelle de 1889, la vitrine du savoir-faire technique français. Plébiscitée par le public dès sa présentation à l'exposition, elle a accueilli plus de 200 millions de visiteurs depuis son inauguration[o 2]. Sa taille exceptionnelle et sa silhouette immédiatement reconnaissable en ont fait un emblème de Paris.

Imaginée par
Maurice Koechlin et Émile Nouguier, respectivement chef du bureau des études et chef du bureau des méthodes d'Eiffel & Cie[2], la tour Eiffel est conçue pour être le « clou de l'Exposition de 1889 se tenant à Paris. ». Elle salue également le centenaire de la Révolution française. Le premier plan est réalisé en juin 1884 et amélioré par Stephen Sauvestre, l’architecte en chef des projets de l'entreprise, qui lui apporte plus d'esthétique.

Le 1er mai 1886, le ministre du Commerce et de l'Industrie
Édouard Lockroy, fervent défenseur du projet, signe un arrêté qui déclare ouvert « un concours en vue de l’Exposition universelle de 1889 »[3]. Gustave Eiffel remporte ce concours et une convention du 8 janvier 1887 fixe les modalités d'exploitation de l'édifice. La galerie Vittorio Emanuele II, au centre de Milan, fut une source d'inspiration, pour sa structure métallique.[réf. nécessaire]

Construite en deux ans, deux mois et cinq jours, de 1887 à 1889, par 250 ouvriers, elle est inaugurée, à l'occasion d'une fête de fin de chantier organisée par Gustave Eiffel, le 31 mars 1889[o 3]. Sa fréquentation s'érode rapidement ; la tour Eiffel ne connaîtra véritablement un succès massif et constant qu'à partir des années 1960, avec l'essor du tourisme international. Elle accueille maintenant plus de six millions de visiteurs chaque année.

Ses 300 mètres de hauteur lui ont permis de porter le titre de « plus haute structure du monde » jusqu'à la construction en 1930 du
Chrysler Building, à New York. La tour Eiffel, située sur le Champ-de-Mars, près de la Seine, dans le 7e arrondissement de Paris, est actuellement exploitée par la Société d'exploitation de la tour Eiffel (SETE). Le site, sur lequel travaillent plus 500 personnes (dont plus de 250 directement employés par la SETE), est ouvert tous les jours de l'année[o 1].

La tour Eiffel est inscrite aux
monuments historiques depuis le 24 juin 1964[4] et est inscrite au patrimoine mondial de l'UNESCO depuis 1991, en compagnie des autres monuments parisiens.

อันตรายจากดูดขวดนมเด็ก ^^

น่าห่วง! โครงการอาหารปลอดภัยเด็กไทยพ้นสารพิษพลาสติก เผยข้อมูล “ขวดนม” ร้อยละ 80 มีสารเคมีอันตราย BPA มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ อย.แจง ไม่มีอำนาจควบคุม ส่งเรื่องจี้ สมอ.ออกเกณฑ์ควบคุมการผลิต



พญ.รัชดา เกษมทรัพย์ กุมารแพทย์ หน่วยกุมารเวชศาสตร์สังคม สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) ในฐานะเลขานุการโครงการอาหารปลอดภัยเด็กไทยพ้นสารพิษพลาสติก กล่าวว่า ขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตั้งคณะกรรมการควบคุมการผลิตขวดนมพลาสติกสำหรับทารก และเด็กเล็กขึ้น เพื่อที่จะพิจารณาว่าควรออกแนวทางให้ผู้ประกอบการงดผลิตขวดนมจากพลาสติกโพลีคาร์บอนเนต เนื่องจากพลาสติกชนิดดังกล่าวมีสารเคมี BPA ที่มีผลวิจัยจากทางยุโรปเมื่อประมาณปี 2551 โดยวิจัยในสัตว์ทดลองให้กินนมจากขวดนมที่ทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอนเนตอย่างต่อเนื่อง พบว่า สารเคมีดังกล่าวได้ปนเปื้อนมาในน้ำนม และมีผลในการไปรบกวนการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง รวมถึงไปมีผลต่อการผลิตอสุจิได้น้อยลง ส่งผลกระทบต่อระบบสืบพันธ์ของสัตว์ทดลอง ทำให้ในหลายประเทศ เช่น แคนาดา สหภาพยุโรป จีน มาเลเซีย และแอฟริกาใต้ ออกประกาศห้ามผลิต และจำหน่ายขวดนมที่ผลิตจากโพลีคาร์บอนเนต ไปแล้ว เพราะเห็นว่าจะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาระบบประสาทและพฤติกรรมของทารกและเด็กเล็ก รวมไปถึงการพัฒนาระบบสืบพันธุ์ด้วย



พญ.รัชดา กล่าวต่อไปว่า สำหรับในประเทศไทย พบว่า มีการจำหน่ายขวดนมที่ผลิตจากโพลีคาร์บอนเนตในท้องตลาดมากกว่าร้อยละ 80 ซึ่งทางกรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้สุ่มนำขวดนมที่วางจำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมดประมาณ 30 ขวด มาทดสอบหาสารเคมี BPA ก็พบว่า มีสารเคมี BPA ปนเปื้อนในน้ำนมเช่นกัน และยังพบด้วยว่าหากอุณหภูมิของน้ำยิ่งสูงเท่าใด ก็จะส่งผลให้มีสารเคมีดังกล่าวปนเปื้อนออกมาในจำนวนมาก อย่างไรก็ตามยังไม่มีการวิจัยในตัวเด็กทารก เนื่องจากประเทศไทยยังขาดห้องแลปที่สามารถทดลองในเรื่องนี้ได้ แต่ในประเทศเกาหลี และไต้หวัน ได้เคยทดลองวิจัยปัสสาวะของเด็กทารกที่ดื่มนมจากขวดนมที่ทำจากพลาสติกโพลีคาร์บอนเนต ก็พบว่า มีสารเคมี BPA ปนเกื้อนออกมาเช่นกัน ดังนั้นจึงอยากให้พ่อ แม่ เลือกซื้อขวดนมที่ผลิตจากพลาสติก โพลีพรอพพีลีน หรือ PP หรือให้สังเกตบริเวณข้างขวดจะมีเขียนไว้ว่า BPA Free หรือ PP หรือสังเกตได้จากก้นขวดนมจะมีสัญลักษณ์ มีเลข 5 ตรงกลาง และมีรูปลูกศรล้อมรอบ แต่หากเป็นขวดนมที่ผลติจากพลาสติกโพลีคาร์บอนเนต บริเวณก้อนขวดจะมีสัญลักษณ์เลข 7 อยู่ตรงกลางและมีลูกศรล้อมรอบ



ด้านนพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า หลังจากคณะกรรมการได้มีการพิจารณาแล้ว พบว่า ในการควบคุมการผลิตขวดนม อย.ไม่ได้มีอำนาจควบคุมการผลิตโดยตรง ดังนั้น จึงได้นำผลวิจัยที่เกี่ยวกับสาร BPA เสนอไปยัง สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ.ซึ่งเป็นผู้รับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม โดยจะออกตราสัญลักษณ์ มอก.ให้แก่ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรอง ดังนั้น หน้าที่ในการตรวจรับรอง หรือควบคุมมาตรฐาน รวมทั้งการกำหนดเกี่ยวกับสารเคมี BPA จึงเป็นหน้าที่ของ สมอ.ในการพิจารณาเรื่องนี้ อย.ทำได้เพียงเสนอข้อมูลทางวิชาการเท่านั้น

น้ำท่วม "วัดไชยวัฒนาราม" มรดกโลก

ระดมกู้'วัดไชยวัฒนาราม'น้ำท่วม
ผู้ว่าฯกรุงเก่าระดมกำลังทหาร-คนงานศิลปากรเร่งกู้วัดไชยวัฒนารามน้ำท่วม มั่นใจ 3 วันสำเร็จ ขณะที่ปราสาทหินพิมาย แหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อในโคราชน่าห่วง หลังปริมาณน้ำท่วมขังสูงกว่า 30 ซม.หวั่นเกิดการทรุดตัว
เมื่อเวลา 19.00 น.วันที่ 4 ต.ค.2554 ทหารจากจังหวัดทหารบกสระบุรี และคนงานสำนักงานศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา จำนวนกว่า 50 นายได้เร่งนำกระสอบทรายมาวางตามแนวถนนด้านหน้า
วัดไชยวัฒนาราม ที่ถูกน้ำท่วมจนข้ามถนนตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกัน ซึ่งระดับน้ำยังแรง แต่จนท.ก็พยายามเร่งวางแนวกระสอบทรายให้มีความสูงจากพื้นถนนประมาณ 50-80 ซม.ตลาดระยะทาง 3 ก.ม.ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำท่วมถนนสายวัดไชยวัฒนาราม ตั้งแต่ด้านหน้าวัดไชยวัฒนาราม ยาวไปทางด้านหลังโบราณสถาน

นายวิทยา ผิวผ่อง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ได้เดินทางไปอำนวยการด้วยตนเอง โดยเปิดเผยว่าจะทำการกู้โบราณสถาน
วัดไชยวัฒนาราม ด้วยการวางแนวกระสอบทรายบนถนนหน้าวัดไชยวัฒนารามให้เสร็จ จากนั้นก็จะนำดินลงไปทับเป็นคันกั้นน้ำ เมื่อวางแนวตามถนนนี้เสร็จก็จะเข้าไปนำกระสอบทรายไปทิ้งที่แนวป้องกันที่แตกด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งจะทำงานกันทั้งกลางวันกลางคืน เมื่อกัน้ได้แล้วจึงจะทำการสูบน้ำออกทันที โดยคาดว่าจะใช้เวลาภายใน 3 วันสามารถกู้วัดไชยวัฒนารามได้