วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คริสต์มาส ใกล้เข้ามาแล้ว ...




คริสต์มาส คืออะไร
วันคริสต์มาส คือ การฉลองวันประสูติของพระเยซูผู้เป็นศาสดาสูงสุดของชาวคริสต์ทั่วโลก เป็นวันฉลองที่มีความสำคัญ และมีความหมายมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะชาวคริสต์ถือว่า พระเยซูมิใช่เป็ แต่เพียงมนุษย์ธรรดาๆ ที่มาเกิดเหมือนเด็กทั่วไป แต่พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด และมีพระธรรมชาติเป็น พระเจ้า และเป็นมนุษย์ในพระองค์เอง การบังเกิดของพระองค์ จึงเป็นเหตุการณ์ พิเศษ ที่ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือนด้วย


ประวัติการประสูติพระเยซูเจ้า
ในเวลานั้น จักรพรรดิออกัสตัส รับสั่งให้ราษฎรทุกคน ในอาณาจักรโรมัน ไปลงทะเบียนสำมะโน ประชากร โยเซฟและมารีย์ ซึ่งมีครรภ์แก่จึงต้องเดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮม อันเป็นเมืองที่กษัตริย์ดาวิดประสูติ พอดีถึงกำหนดที่มารีย์จะคลอดบุตร เธอก็ได้คลอดบุตรชายหัวปี เธอเอาผ้าพันกายพระกุมารแล้ววางไว้ใน รางหญ้า เนื่องจากตามโรงแรมไม่มีที่พักเลย คืนนั้นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ปรากฎแก่พวกเลี้ยงแกะ พวกเขาตกใจกลัวมาก แต่ทูตสวรรค์ปลอบพวกเขาว่า "อย่ากลัวไปเลย เพราะเรานำข่าวดีมาบอก คืนนี้เอง ในเมืองของกษัตริย์ ดาวิด มีพระผู้ช่วยให้รอดประสูติ พระองค์นั้นเป็นพระคริสต์พระเป็นเจ้า นี่จะเป็น หลักฐานให้พวกท่านแน่ใจคือ พวกท่านจะพบพระกุมารมีผ้าพันกาย นอนอยู่ในรางหญ้า"
ทันใดนั้น มีทูตสวรรค์อีกมากมาย ร้องเพลง สรรเสริญ พระเจ้าว่า " Gloria in Excelsis Deo ขอเทิด พระเกียรติพระเจ้าผู้สถิตย์ในสวรรค์ชั้นสูงสุด สันติสุขบนพิภพจงเป็นของผู้ที่พระองค์ทรงพอพระทัย


ทำไมจึงฉลองคริสต์มาสวันที่ 25 ธันวาคม
ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ (ลก.2:1-3) บันทึกไว้ว่าพระเยซูเจ้าบังเกิด ในสมัยที่จักรพรรดิซีซ่าร์ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยมีคีรินิอัสเป็นเจ้าครองเมืองซีเรีย ซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า เป็นวัน หรือเดือนอะไร แต่นักประวัติศาสตร์ให้เหตุผลว่า ทื่คริสตชน เลือกเอาวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลองคริสต์มาส ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา เนื่องจาก ในปี ค.ศ. 274 จักรพรรดิเอาเรเลียน ได้กำหนดให้วันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันฉลอง วันเกิดของสุริยเทพผู้ทรงพลัง ชาวโรมันฉลองวันนี้อย่างสง่า และถือเสมือนว่าเป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะพระจักรพรรดิก็เปรียบเสมือน ดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์
คริสตชนที่อยู่ในจักรวรรดิ โรมันรู้สึกอึดอัดใจที่จะฉลอง วันเกิดของสุริยเทพตามประเพณีของ ชาวโรมัน จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้าแทน จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 330 จึงเริ่มมีการฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการ และอย่างเปิดเผย เนื่องจากก่อนนั้น มีการเบียดเบียนศาสนาอย่างรุนแรง (ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 64-313) ทำให้คริสตชนไม่มีโอกาสฉลองอะไรอย่างเปิดเผย


ความสำคัญของวันคริสต์มาส
คริสต์มาส เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งวันหนึ่งในศาสนาคริสต์ มิใช่เป็นวันสำคัญฝ่ายร่างกายจัดงาน รื่นเริงภายนอกเท่านั้น ซึ่งเป็นแต่เพียงเปลือกนอกของการฉลองคริสต์มาส แต่แก่นแท้อยู่ที่ความรัก ของพระเจ้าที่ มีต่อโลกมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ มากจน ถึงกับยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียว ของพระองค์ ให้มาเกิดเป็น มนุษย์ มีเนื้อหนังมังสา ชื่อว่า "เยซู"
การที่พระเจ้าได้ถ่อมองค์และเกียรติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาส ของความชั่ว และบาปต่างๆ นั่นเอง
ดังนั้นความสำคัญของวันคริสต์มาสจึงอยู่ที่การฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อโลกมนุษย์ อย่างเป็นจริง เป็นจัง และเห็นตัวตนในพระเยซูคริสต์ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น


ประวัติวันคริสต์มาส
คริสต์มาส คือการฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เรา เฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า คริสต์มาส เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas ซึ่งมาจากภาษาอังกฤษ โบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า เพราะการร่วมพิธีมิสซาเป็นประเพณีสำคัญที่สุดที่ชาวคริสต์ ถือปฎิบัติกันในวันคริสต์มาส
คำว่า Christes Maesse พบครั้งแรก ในเอกสารโบราณ เป็นภาษาอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1038 และคำนี้ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas คำทักทายที่เราได้ฟังบ่อย ๆ ในเทศกาลนี้คือ Merry Christmas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า สันติสุข และความสงบทางใจ

เพราะฉะนั้นคำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบ ทางใจ
เนื่องใน โอกาสเทศกาลคริสต์มาส ส่วนภาษาไทยใช้อวยพรด้วยประโยคว่า "สุขสันต์วันคริสต์มาส
Merry Christmas "


การร้องเพลงคริสต์มาส
เพลงคริสต์มาสที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีเสียงมากได้แก่ Silent Night, Holy Night เป็นภาษาไทยว่า "ราตรีสวัสดิ์ คืนอันศักดิสิทธ์ "

ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวัน คริสต์มาส ของปี ค.ศ. 1818 คุณพ่อ Joseph Mohr เจ้าอากาสวัดที่ Oberndorf ประเทศออสเตรเลีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจจะแต่งเพลงคริสต์มาส หลังจากแต่งเสร็จก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ Franz Gruber ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดใกล้ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก


เทียนและพวงมาลัย
ในสมัยก่อนมีกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในเยอรมัน ได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้นในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะมารวมกัน ดับไฟ แล้วจุดเทียนเล่มหนึ่ง สวด ภาวนาและร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกัน เขาจะทำดังนี้ทุกอาทิตย์จนครบ 4 อาทิตย์ก่อนคริสต์มาส ประเพณีนี้เป็นที่นิยมและแพร่หลายในที่หลายแห่ง โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา
ซึ่งต่อมามีการเพิ่ม โดยเอาพวงมาลัยพร้อมกับเทียนที่จุดไว้ตรงกลาง 1 เล่มไปแขวนไว้ที่หน้าต่างเพื่อช่วย ให้คนที่ผ่านไปมา ได้ระลึกถึงการเตรียมตัวรับวันคริสต์มาสที่ใกล้เข้ามา และพวงมาลัยนั้นยังเป็นสัญลักษณ์ที่คน สมัยโบราณใช้หมายถึงชัยชนะ แต่ในที่นี้หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบ บริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า


การทำมิสซาเที่ยงคืน
เมื่อพระสันตะปาปาจูลีอัสที่1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) แล้วในปี นั้นเองพระองค์และสัตบุรุษได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม ยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ
พอไปถึงก็เป็นเวลาเที่ยงคืน พระสัน ตะปาปาก็ทรงถวายบูชา ณ ที่นั้น เมื่อเสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก เป็นเวลาเช้ามืดราวๆ ตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และสัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ก็ยังมีสัตบุรุษหลายคนที่ไม่ได้ไป พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อ สัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติ ของพระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมี ธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ใน โอกาสวันคริสต์มาสเช่นเดียวกัน


ซานตาครอส
ตัวจริงของซานตาครอส คือ นักบุญนิโคลัสซึ่งเป็นบาทหลวงในตุรกี ช่วงคริสต์ศตวรรษที่สี่ ผู้ขึ้นชื่อในเรื่องความใจดี โดยเฉพาะกับเด็กๆ ต่อมาท่านเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วฮอลแลนด์ในชื่อ "ซินเตอร์คลาส" ราวค.ศ.1870 ชาวอเมริกันเรียกชื่อเพี้ยนไปเป็น"ซานตาคลอส" ตั้งแต่แรกจนถึงค.ศ. 1890

ภาพของซานตาคลอสเป็นชายร่างผอมสูงสวมชุดสีเขียว หรือน้ำตาลสลับแดง เจนนี ไนสตรอม ศิลปินชาวสวีเดน เป็นผู้คิดค้นรูปลักษณ์ของซานตาครอสอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน โดยวาดภาพลงในบัตรอวยพรคริสต์มาส ภาพเหล่านี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เมื่อชาวสวีเดนอีกคนชื่อ แฮดดอน ซันด์บลอม นำภาพวาดของไนสตรอมสวมชุดขาว

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย กับ ประเทศฝรั่งเศส

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฝรั่งเศสและประเทศไทย

มีประวัติอันยาวนาน ทั้งสองได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเมื่อปีพ.ศ. 2545 ซึ่งทำให้สัมพันธภาพและมิตรภาพของทั้งสองเหนียวแน่นขึ้น

ช่วงศตวรรษที่ 17 ประเทศฝรั่งเศสและประเทศสยามได้เริ่มความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการครั้งแรก คณะทูตจากประเทศไทยได้เดินทางไปเยือนประเทศฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2227 และพ.ศ.2229 โดยได้รับการต้อนรับจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 คณะตัวแทนจากฝรั่งเศสหลายคณะได้เดินทางมายังประเทศไทยเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์เช่นกัน คณะฯที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะได้แก่คณะของเชอร์วัลลิเยร์ เดอ โชมงต์ ความสัมพันธ์ทางด้านการทูตของทั้งสองประเทศเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อปีพ.ศ.2399 และได้มีการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ด้านการทูตระหว่างสองประเทศครบ 150 ปีเมื่อปีพ.ศ.2549

ในส่วนของการล่าอาณานิคมในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อปีพ.ศ.2436 วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (กรณีพิพาทระหว่างประเทศสยามและประเทศฝรั่งเศส) ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้งในปีพ.ศ.2440 และพ.ศ.2450 สัมพันธภาพดังกล่าวดีขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งประเทศไทยร่วมมือทางการทหารกับฝรั่งเศส หลังสงครามสิ้นสุด ในปีพ.ศ.2461 ประเทศสยามได้ส่งทหารเข้าร่วมสวนสนามที่ถนนชองส์ เอลิเซส์ ประเทศฝรั่งเศส อีกด้วย

ในช่วงระหว่างสงครามโลกทั้งสองครั้ง ประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศสได้กระชับความสัมพันธ์ทั้งด้านการทูตและการเมือง รวมถึงด้านการทหาร (รัชกาลที่ 7 ทรงเป็นพระสหายร่วมชั้นกับนายพลเดอ โกลล์ของฝรั่งเศส) และด้านวัฒนธรรม นักศึกษาจากประเทศสยามเดินทางไปศึกษาต่อที่กรุงปารีสเป็นจำนวนหลายคน รวมถึงท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการพัฒนาประเทศไทยยุคใหม่

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างเดือนกันยายนพ.ศ.2483 และพฤษภาคมพ.ศ.2484 กองทหารของประเทศทั้งสองได้เผชิญหน้ากันทั้งในดินแดนอินโดจีน อาณานิคมของฝรั่งเศส และในประเทศไทย ฝ่ายไทยได้ยึดเสียมเรียบและพระตระบอง ประเทศฝรั่งเศสแสดงความไม่พอใจ และปะทะกับกองทัพไทย อันเป็นเหตุให้เรือรบไทยจมลงที่เกาะช้าง สุดท้าย มีการลงนามสงบศึกที่กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมพ.ศ.2484 อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศยังไม่แน่นแฟ้นเท่าไหร่นัก ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยือนประเทศฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2503 แล้วก็ตาม

ช่วงต้นปีพ.ศ. 2543 ความสัมพันธ์ระหว่างฝรั่งเศสและไทยกลับกระชับเหนียวแน่นอีกครั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้เยือนประเทศฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2546 ประเทศทั้งสองพร้อมใจที่จะเปิดศักราชใหม่ของความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและด้านวิทยาศาสตร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรถือว่าประเทศฝรั่งเศสเป็นหุ้นส่วนที่สำคัญของประเทศไทยในยุโรป เช่นเดียวกับประธานาธิบดี ฌากส์ ชิรัค ที่เห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศเอเชียที่สำคัญเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการลงนามในแผนปฏิบัติการร่วม ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2547 โดยนายมิเชล บาร์นิเยร์และดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของประเทศทั้งสอง

การเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายฌากส์ ชิรัค ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 ในฐานะราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะสมานความสัมพันธ์ฝรั่งเศสไทยให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกครั้ง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเสนอให้มีการรับร่างสนธิสัญญาสมานฉันท์และความร่วมมือแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หรือ TAC) เพื่อกระตุ้นให้มีการหารือทางด้านการเมืองระหว่างประเทศทั้งสองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมความร่วมมือด้านความปลอดภัยและการป้องกันประเทศ การช่วยเหลือประเทศที่สาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศลาวและกัมพูชา ร่วมกัน ทั้งนี้ รวมถึงความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การศึกษาระดับสูงและการวิจัย และการกระตุ้นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ รัฐมนตรีกำกับดูแลด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศได้หารือร่วมกันเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ณ กรุงปารีส

ในปีพ.ศ. 2548 การแลกเปลี่ยนทางด้านการค้าระหว่างประเทศไทยและฝรั่งเศสมีจำนวนถึง 3,100 ล้านยูโร (เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 38 ภายในปีเดียว) ประเทศฝรั่งเศสส่งสินค้าออกมายังประเทศไทยเป็นอันดับที่ 15 ของจำนวนประเทศที่ฝรั่งเศสส่งสินค้าออกทั้งหมด (มูลค่า 1,600 ล้านยูโร) ในขณะที่ประเทศไทยส่งสินค้าออกไปยังประเทศฝรั่งเศสมากเป็นอันดับที่ 17 ของจำนวนประเทศที่ไทยส่งสินค้าออกทั้งหมด (มูลค่า 1,514 ยูโร) ปัจจุบัน บริษัทฝรั่งเศสในประเทศไทยมีจำนวนมากถึง 300 บริษัท

นอกจากนี้ ประเทศทั้งสองยังกระชับความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และวิชาการอีกด้วย ในส่วนของวัฒนธรรม ได้มีการจัดเทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศสหรือลา แฟ็ต ณ กรุงเทพฯ ในขณะที่ฝ่ายไทยจัดงานเทศกาลวัฒนธรรมไทยซึ่งมีชื่อว่า Tout à fait Thaï ณ ประเทศฝรั่งเศส ในส่วนของวิชาการ ฝ่ายไทยและฝ่ายฝรั่งเศสยังมีโครงการร่วมด้านวิทยาศาสตร์ การวิจัย การแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานการศึกษา ฯลฯ อีกด้วย

หลังจากเกิดการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ในประเทศไทย ประเทศฝรั่งเศสและสมาชิกสหภาพยุโรปมีความคิดเห็นว่าการนำประเทศไทยกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตยและการยึดหลักรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้ นอกจากนั้น ยังประสงค์ให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึก การเคารพในสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพของประชาชน และส่งเสริมให้มีการจัดการเลือกตั้งอย่างเสรีอันถูกต้องตามหลักประชาธิปไตยให้เร็วที่สุด ประเทศฝรั่งเศสยังประสงค์ที่จะกระชับสัมพันธภาพกับประเทศไทย โดยยึดมั่นในสันติภาพ เสรีภาพ และหลักประชาธิปไตย

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553



นายจิลดาส์ เลอ ลีเดค เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย


ใกล้ลอยกระทงแล้ว 0.0



วันลอยกระทงของทุกปีจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย หรือถ้าเป็นปฏิทินจันทรคติล้านนาจะตรงกับเดือนยี่ และหากเป็นปฏิทินสุริยคติจะราวเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือน 12 นี้เป็นช่วงต้นฤดูหนาว อากาศจึงเย็นสบาย และอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก มีน้ำขี้นเต็มฝั่ง ทำให้เห็นสายน้ำอย่างชัดเจน อีกทั้งวันขึ้น 15 ค่ำ เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง ทำให้สามารถเห็นแม่น้ำที่มีแสงจันทร์ส่องกระทบลงมา เป็นภาพที่ดูงดงามเหมาะแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง ประวัติความเป็นมาของวันลอยกระทง
ประเพณีลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า "พิธีจองเปรียญ" หรือ "การลอยพระประทีป" และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฎในหนังสือนางนพมาศที่ว่า "ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกษรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้ป็นลวดลาย..." เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า "ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน" พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า "เรือลอยประทีป" ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย เหตุผลและความเชื่อของการลอยกระทง สาเหตุที่มีประเพณีลอยกระทงขึ้นนั้น เกิดจากความเชื่อหลาย ๆ ประการของแต่ละท้องที่ ได้แก่

1.เพื่อแสดงความสำนึกถึงบุญคุณของแม่น้ำที่ให้เราได้อาศัยน้ำกิน น้ำใช้ ตลอดจนเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา ที่ได้ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ ลงไปในน้ำ อันเป็นสาเหตุให้แหล่งน้ำไม่สะอาด

2.เพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทนัมมทานที เมื่อคราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ และได้ทรงประทับรอยพระบาทไว้บนหาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแคว้นทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุทท

3.เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เพราะการลอยกระทงเปรียบเหมือนการลอยความทุกข์ ความโศกเศร้า โรคภัยไข้เจ็บ และสิ่งไม่ดีต่าง ๆ ให้ลอยตามแม่น้ำไปกับกระทง คล้ายกับพิธีลอยบาปของพราหมณ์

4.เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุต ที่ชาวไทยภาคเหนือให้ความเคารพ ซึ่งบำเพ็ญเพียรบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึกหรือสะดือทะเล โดยมีตำนานเล่าว่าพระอุปคุตเป็นพระมหาเถระรูปหนึ่งที่มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถปราบพญามารได้

5.เพื่อรักษาขนบธรรมเนียมของไทยไว้มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา และยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

6.เพื่อความบันเทิงเริงใจ เนื่องจากการลอยกระทงเป็นการนัดพบปะสังสรรค์กันในหมู่ผู้ไปร่วมงาน

7.เพื่อส่งเสริมงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีเทศกาลลอยกระทง มักจะมีการประกวดกระทงแข่งกัน ทำให้ผู้เข้าร่วมได้เกิดความคิดแปลกใหม่ และยังรักษาภูมิปัญหาพื้นบ้านไว้อีกด้วย ประเพณีลอยกระทงในแต่ละภาค ลักษณะการจัดงานลอยกระทงของแต่ละจังหวัด และแต่ละภาคจะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันคือ
ภาคเหนือ (ตอนบน) จะเรียกประเพณีลอยกระทงว่า "ยี่เป็ง" อันหมายถึงการทำบุญในวันเพ็ญเดือนยี่ (เดือนยี่ถ้านับตามล้านนาจะตรงกับเดือนสิบสองในแบบไทย) โดยชาวเหนือจะนิยมประดิษฐ์โคมลอย หรือที่เรียกว่า "ว่าวฮม" หรือ "ว่าวควัน" โดยการใช้ผ้าบางๆ แล้วสุมควันข้างใต้ ให้โคมลอยขึ้นไปในอากาศ เพื่อเป็นการบูชาพระอุปคุตต์ ซึ่งเชื่อกันว่าท่านบำเพ็ญบริกรรมคาถาอยู่ในท้องทะเลลึก หรือสะดือทะเล ตรงกับคติของชาวพม่า
จังหวัดตาก จะประดิษฐ์กระทงขนาดเล็ก แล้วปล่อยลอยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้เรียงรายเป็นสาย เรียกว่า "กระทงสาย"
จังหวัดสุโขทัย เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องประเพณีลอยกระทง ด้วยความเป็นจังหวัดต้นกำเนิดของประเพณีนี้ โดยการจัดงาน ลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟ ที่จังหวัดสุโขทัยถูกฟื้นฟูกลับมาอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ.2520 ซึ่งจำลองบรรยากาศงานมาจากงานลอยกระทงสมัยกรุงสุโขทัย และหลังจากนั้นก็มีการจัดงานลอยกระทงเผาเทียนเล่นไฟขึ้นที่จังหวัดสุโขทัยทุก ๆ ปี มีทั้งการจัดขบวนแห่โคมชักโคมแขวน การเล่นพลุตะไล และไฟพะเนียง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ งานลอยกระทงจะเรียกว่า เทศกาลไหลเรือไฟ โดยจัดเป็นประเพณียิ่งใหญ่ทุกปีในจังหวัดนครพนม มีการนำหยวกกล้วย หรือวัสดุต่าง ๆ มาตกแต่งเรือ และประดับไฟอย่างสวยงาม และตอนกลางคืนจะมีการจุดไฟปล่อยกระทงให้ไหลไปตามลำน้ำโขง
กรุงเทพมหานคร มีการจัดงานลอยกระทงหลายแห่ง แต่ที่เป็นไฮไลท์อยู่ที่ "งานภูเขาทอง" ที่จะเนรมิตงานวัดเพื่อเฉลิมฉลองประเพณีลอยกระทง ส่วนใหญ่จัดอยู่ราว 7-10 วัน ตั้งแต่ก่อนวันลอยกระทง จนถึงหลังวันลอยกระทง
ภาคใต้ มีการจัดงานลอยกระทงในหลาย ๆ จังหวัด เช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่มีงานยิ่งใหญ่ทุกปี กิจกรรมในวันลอยกระทง ในปัจจุบันมีการจัดงานลอยกระทงทุก ๆ จังหวัด ซึ่งจะมีกิจกรรมแตกต่างกันไปในแต่ละสถานที่ แต่กิจกรรมที่มีเหมือน ๆ กันก็คือ การประดิษฐ์กระทง โดยนำวัสดุต่าง ๆ ทั้งหยวกกล้วย ใบตอง หรือจะเป็นกาบพลับพลึง เปลือกมะพร้าว ฯลฯ มาประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เครื่องสักการบูชา ให้เป็นกระทงที่สวยงาม ภายหลังมีการใช้วัสดุโฟมที่สามารถประดิษฐ์กระทงได้ง่าย แต่จะทำให้เกิดขยะที่ย่อยสลายยากขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้กระทงโฟมเพื่อพิทักษ์สิ่งแวดล้อม ก่อนจะมีการดัดแปลงวัสดุทำกระทงให้หลากหลายขึ้น เช่น กระทงขนมปัง กระทงกระดาษ กระทงพลาสติกชนิดพิเศษ เพื่อให้ย่อยสลายง่ายและไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อไปถึงสถานที่ลอยกระทง ก่อนทำการลอยก็จะอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนาขอให้ประสบความสำเร็จ หรือเสี่ยงทายในสิ่งต่าง ๆ จากนั้นจึงปล่อยกระทงให้ลอยไปตามสายน้ำ และในกระทงมักนิยมใส่เงินลงไปด้วย เพราะเชื่อกันว่าเป็นการบูชาพระแม่คงคา นอกจากการลอยกระทงแล้ว มักมีกิจกรรมประกวดนางนพมาศอันเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประเพณีลอยกระทง และตามสถานที่จัดงานจะมีการประกวดกระทง ขบวนแห่ มหรสพสมโภชต่าง ๆ บางแห่งอาจมีการจุดพลุ ดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองด้วย
เพลงประจำเทศกาลลอยกระทง

เมื่อเราได้ยินเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ขึ้นต้นว่า "วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง..." นั่นเป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงวันลอยกระทงแล้ว ซึ่งเพลงนี้เป็นที่คุ้นหูของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ เพราะในต่างประเทศมักเปิดเพลงนี้ต้อนรับนักท่องเที่ยว เพื่อแสดงถึงความเป็นประเทศไทย เพลงรำวงวันลอยกระทงแต่งโดยครูแก้ว อัจฉริยกุล ผู้ให้ทำนองคือ ครูเอื้อ สุนทรสนาน แห่งสุนทราภรณ์ ซึ่งครูเอื้อได้แต่งเพลงนี้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2498 ขณะที่ได้ไปบรรเลงเพลงที่บริเวณคณะบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีผู้ขอเพลงจากครูเอื้อ ครูเอื้อจึงนั่งแต่งเพลงนี้ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในระยะเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงจึงเกิดเป็นเพลง "รำวงลอยกระทง" ที่ติดหูกันมาทุกวันนี้ มีเนื้อร้องว่า วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ
โรคหวัด เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่ก็ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงาน จนทำให้เกิ[คำไม่พึงประสงค์]าการอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว แนะนำว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพราะน้ำจะช่วยให้หายจากโรคหวัดได้ ดื่มน้ำอุ่น ช่วยละลายเสมหะในลำคอ ดื่มน้ำเยอะ ๆ จะช่วยลดไข้ และทำให้ร่างกายเย็นลง ดื่มน้ำช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ร่างกาย ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดี ดื่มน้ำช่วยล[คำไม่พึงประสงค์]าการติดเชื้อ และอักเสบ ดื่มน้ำช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ทำให้ฟื้นไข้เร็วขึ้น สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคหวัด และอยากจะดื่มเครื่องดื่มที่มีรสชาติ แนะนำว่าควรจะเป็น น้ำผลไม้ เช่น น้ำส้ม น้ำฝรั่ง น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำสัปปะรด เพราะมีวิตามินซีสูงจะช่วยให้อาการโรคหวัดดีขึ้น ใครที่อยากหายจากอาการโรคหวัดเร็ว ๆ ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้.

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทัชมาฮัล


ถ้าถามว่า “ความรักคืออะไร“…. อย่าคิดหาคำตอบให้เสียเวลา…เพราะว่าเราจะไม่ได้ความหมายที่แท้จริงเลย คำๆ นี่ไม่มีแม้กระทั่งคำจำกัดความของตัวมันเอง เรารู้แต่เพียงว่า “ความรัก” นั้น สามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้ทุกสิ่ง

ทัชมาฮัล คือตัวอย่างของตำนานแห่ง “ ความรัก” ที่ปราศจากนิยามคำนี้ ผู้ที่สร้างตำนานความรักอันยิ่งใหญ่คือ กษัตริย์ชาห์ญะฮาน กษัตริย์องค์ที่ 5 ในราชวงศ์โมเลกุล ที่ทรงโปรดให้สร้าง ตาซมะฮัล หรือ ทัชมาฮัลขึ้นเป็นอนุสรณ์แทนความรักที่พระองค์มีต่อมเหสีคือ พระนางมุมตาซ มะฮัล จนสถานที่แห่งนี้กลายเป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่งดงามที่สุดในโลก กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ทรงเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ญะฮางงีร์ ทรงประสูติเมื่อปี ค.ศ. 1592 เป็นที่ร่ำลือตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์ว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้าชายที่ทรงเคร่งขรึม ในพระทัยเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ความเป็นคนอมทุกข์ของพระราชโอรสสร้างความหนักพระทัยให้กับพระราชบิดาเป็นอย่างมาก กษัตริย์ญะฮางีร์ ทรงแนะนำให้พระราชโอรสดื่มน้ำจัณฑ์และหาความสำราญพระทัยด้านต่างๆ มาสู่พระราชโอรส แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ชาห์ ญะฮาน ยังทรงเคร่งขรึมไม่เบิกบานพระทัยเช่นเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง เจ้าชายได้เสด็จประพาสตลาดและได้พบกับสาวน้อยวัย 14 ปี นามว่า อรชุนด์ บาโน เบคุม เป็นบุตรสาวของ อะซีฟ ข่าน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1592 และมีเชื้อสายเปอร์เซีย เพียงได้เห็นดวงหน้าของนางครั้งแรกเจ้าชายก็เกิดรักแรกพบขึ้นที่ตลาดนั่นเอง 3 ปีให้หลัง พิธิอภิเษกสมรสของเจ้าชายก็ถูกจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1612 หลังจากพิธีอภิเษก อรชุนด์ บาโน เบคุม ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า มุมตาซ มะฮัล ซึ่งแปลว่า อัญมณีแห่งปราสาท หลังจากนั้นเป็นต้นมาเจ้าชายก็ทรงเปลี่ยนไป เพราะเบิกบานพระทัยยิ่งนัก อีกทั้งสองพระองค์ก็เป็นคู่รักที่ไม่เคยแยกจากกันเลย ในปี ค.ศ. 1628 เจ้าชายเสด็จขึ้นครองราชบังลังก์ ทรงพระนามว่า กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โดยมีพระนางมุมตาซ มะฮัล เป็นพระมเหสีคู่พระทัย พระนางทรงเป็นทั้งคู่คิดและที่ปรึกษา และ มีส่วนในการช่วยเหลือพระสวามีในการปกครองบ้านเมือง อีกทั้งยังทรงเป็นที่รักใคร่ของพสกนิกรทั่วหล้า พระนางมุมตาซ มะฮัล ทรงให้กำเนิดพระราชโอรสและพระราชธิดารวม 14 พระองค์ หลังจากทรงให้กำเนิดพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในช่วงปี ค.ศ. 1631 พระนางได้เสด็จร่วมกรีธาทัพกับพระสวามี ณ เมืองเดคข่าน แต่ระหว่างเสด็จกลับพระนครพระนางก็ทรงพระประชวรและสิ้นพระชนม์ในที่สุดขบวนเคลื่อนพระศพสู่พระนครนั้น ถูกจัดอย่างเอิกเกริกมโหฬาร ตลอดเส้นทางที่เคลื่อนขบวนมีการโปรยทานแก่คนยากจน เมื่อขบวนเคลื่อนเข้าใกล้กรุงอาครา ผู้ที่อาลัยรักพระนางต่างมาสมทบมากขึ้นจนเป็นขบวนแห่พระศพที่ยิ่งใหญ่มาก กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้นำอาหารมาเลี้ยงแก่ประชาชนทั้งหลายอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นการทำบุญอุทิศแก่พระมเหสีอันเป็นที่รักยิ่ง การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของพระมเหสีสุดที่รักสร้างความโทมนัสตรอมพระทัยให้กับกษัตริย์ชาห์ ญะฮานเป็นอย่างมาก พระองค์ไม่ทรงเสวยและไม่ทรงพระบรรทม ทรงแต่ฉลองพระองค์ด้วยเครื่องนุ่มห่มสีขาวเป็นการไว้ทุกข์ และทรงเสด็จเยี่ยมหลุมฝังศพของพระนางทุกวันศุกร์ด้วยความอาลัยรักอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างอนุสาวรีย์แห่งความรักขึ้นมาอย่างวิจิตรอลังการ และให้ชื่อเรียกว่า ตาซ มะฮัล สร้างอยู่บนพื้นที่ 42 เอเคอร์ ริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในการก่อสร้างนั้น กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน โปรดให้ระดมช่าง ศิลปิน และสถาปนิกที่ได้ชื่อว่าฝีมือดีเยี่ยมที่สุดจากหลายๆ ที่ ประมาณ 20,000 คน ใช้เวลาการในก่อสร้าง 22 ปี สิ้นค้าใช้จ่ายในการก่อสร้างไปประมาณ 45 ล้านรูปี พระอนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างด้วยศิลาขาวทั้งหมดมีโดมทรงกลมเด่นอยู่ตรงกลาง สูงถึง 72 เมตร บริเวณโดยรอบมีผนังศิลาแลงล้อมรอบ ประตูทางเข้าวางอยู่บนฐานศิลาแลง บริเวณทางเข้ามีสระน้ำหินอ่อนสีขาวรอบทางเดินเป็นสวนดอกไม้นานาพันธุ์ ตำแหน่งที่เป็นที่วางพระศพของพระนางมุมตาซ ทำเป็นแท่นรูปบัวตูม ส่วนหีบพระศพเป็นหินอ่อนสีขาวแกะสลักอย่างงดงาม หลังจากที่เป็นที่สร้างทัชมาฮาลเสร็จแล้ว กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ได้เสด็จมายังสถานที่แห่งนี้เสมอๆ จนกระทั่งในค.ศ. 1658 ก็ทรงล้มป่วย พระราชโอรสองค์ที่ 3 คือ ออรังเซป ก็ตั้งตนขึ้นครองราชบัลลังก์แทน และจับกษัตริย์ชาห์ ญะฮาน พระราชบิดา กักขังไว้จนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1666 ก่อนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ระหว่างที่ถูกกักขังอยู่กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน เฝ้าแต่นั่งจ้องมองดูกระจกชิ้นเล็กๆ ที่ส่องสะท้อนออกไปเห็นทัชมาฮัล พระองค์สวรรคตพร้อมด้วยกระจกที่กำแน่นอยู่ในพระหัตถ์ และ พระบรมศพของพระองค์ก็ได้ถูกนำไปฝังในทัชมาฮัล เคียงข้างกับพระมเหสีสุดที่รัก ตามพระประสงค์ที่ทรงต้องการจะอยู่เคียงคู่กันตราบชั่วนิจนิรันดร์ ตำนานอันเลื่องลือของความรักที่ปรากฏไปทั่วโลกเรื่องนี้ ยังมีเรื่องเล่าในอีกแง่มุมหนึ่งเกิดขึ้นมาที่ว่ากันว่ากษัตริย์ชาห์ ญะฮาน สร้างทัชมาฮัลขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัว โดยไม่คิดถึงหลักมนุษยธรรม และทัชมาฮัลก็กลายเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะในการสร้างทัชมาฮัล กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน ระดมช่างฝีมือดีมาเป็นจำนวนมากและมีกฎว่าต้องสร้างให้เสร็จตามกำหนดเวลา ถ้าสร้างไม่เสร็จก็จะถูกลงโทษ และยังมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อสร้างทัชมาฮัลเสร็จแล้ว ช่างทุกคนก็ถูกฆ่าตาย จนหมดเพื่อป้องกันไม่ให้ไปสร้างสถานที่ที่งดงามเช่นนี้เลียนแบบไว้ที่ไหนอีก บ้างก็ว่า กษัตริย์ชาห์ ญะฮาน อาจะไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างทัชมาฮัลให้ยิ่งใหญ่เพื่อความรัก แต่มีแผนการที่จะสร้างปราสาทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เพื่อสนองความต้องการ - ของตัวเอง และในการสร้างทัชมาฮัลนี้ ทำให้ประเทศอินเดียต้องสูญเสียเงินที่จะมาสร้างความเจริญให้กับประเทศ ไปถึง 250 ปี อย่างไรก็ตาม โลกก็ได้ให้รางวัลสำหรับ - ความยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ด้วยการจัดให้ทัชมาฮัล เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตราบมาจนถึงปัจจุบันนี้

มารู้จักกล้ามเนื้อกัน >>>



เจาะลึกร่างกายมนุษย์Kirsteen Rogers & Corinne Henderson
กล้ามเนื้อ Musclesกล้ามเนื้อเป้นเนื้อเยื่อที่ยืดหดได้และพบอยู่ทั่วร่างกาย ทำหน้าที่ตอบสนองการเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อที่เราสามารถควบคุมได้ เช่น กล้ามเนื้อที่ใช้ยกแขน เรียกว่า กล้อมเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจ ส่วนกล้ามเนื้อที่ทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น กล้ามเนื้อที่ทำให้หัวใจเต้น เรียกว่า กล้ามเนื้อที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ กล้ามเนื้อแบ่งออกเป็น 3 ชนิดได้แก่ กล้ามเนื้อโครงร่าง กล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้ออวัยวะภายใน
กล้ามเนื้อโครงร่างร่างกายคนเราประกอบด้วยกล้ามเนื้อโครงร่างประมาณ 640 มัด เป้นกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้อำนาจจิตใจเกาะติดกับกระดูกด้วยเนื้อเยื่อเหนียวที่เรียกว่า เอ็นกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อบางมัดยึดกับผิวหนัง ตัวอย่างของกล้ามเนื้อโครงร่าง ได้แก่ กล้ามเนื้อใบหน้าทำให้คนเราแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ได้ เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวจะสั้นลงและดึงขึ้น ดึงกระดูก (หรือผิวหนัง)ให้เคลื่อนที่ไปด้วย แต่เนื่องจากกล้ามเนื้อไม่สามารถผลักเองได้ จริงต้องอาศัยกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ ช่วยดึงส่วนของร่างกายให้เคลื่อนที่กลับไปยังตำแหน่งเดิม ขณะที่กล้ามเนื้อมัดหนึ่งหดตัว เรียกว่า ตัวทำการ (agonist) กล้ามเนื้ออีกมัดจะลายตัว เรียกว่า ตัวต้าน (antagonist) กล้ามเนื้อที่ทำงานเป็นคู่ในลักษณะดังกล่าวนี้ เรียกว่ากล้ามเนื้อคู่ตรงข้าม (antagonistic pair)กล้ามเนื้อไบเซปส์ (biceps) และ ไทรเซปส์ (triceps) ที่ต้นแขนเป็นตัวอย่างขอ่งกล้ามเนื้อคู่ตรงกันข้าม ลองจับที่ต้นแขนของตัวเองเบา ๆ ในขณะที่งอและเหยียดแขนสลับไปมา คุณจะรู้สึกว่าขณะที่กล้ามเนื้อมัดหนึ่งหดตัว กล้ามเนื้ออีกมัดหนึ่งจะคลายตัว
กล้ามเนื้อหัวใจส่นประกอบของหัวใจเกือบทั้งหมดเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ และทำงานต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กล้ามเนื้อหัวใจทำงานแยกเป็น 2 ส่วน กล่าวคือ ส่วนของหัวใจห้องบนหดตัว เพื่อบึบเลือดลงไปยังหัวใจห้องล่างและส่นวของหัวใจห้องล่างหดตัวเพื่อบีบเลือดเข้าไปในหลอดเลือดแดง
กล้ามเนื้ออวัยวะภายในกล้ามเนื้ออวัยวะภายในพบที่ผนังของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเป็นกล้ามเนื้อที่อยู่นอกเหนืออำนาจจิตใจ ซึ่งจะหดตัวเป็นจังหวะช้าอย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เช่น กล้ามเนื้อของระบบย่อยอาหาร ที่บีบตัวดันอาหารให้เคลื่อนที่
เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อกล้ามเนื้อโครงร่างเป็นกล้ามเนื้อลายซึ่งประกอบขึ้นจากเซลล์รูปร่างเรียวยาวที่เรียกว่า เส้นใยกล้ามเนื้อ เส้นใจกล้ามเนื้ออยู่รวมกัน เรียกว่า กลุ่มเส้นใยกล้ามเนื้อ เส้นใจกล้ามเนื้อแต่ละเส้นประกอบขึ้นจากเส้นใยฝอยกล้ามเนื้ออยู่รวมกัน ภายในเส้นใยฝอยกล้ามเนื้อมีเส้นใยละเอียดชนิดหน้าและบางยึดเกี่ยวกันอยู่ เส้นใยละเอียด ชนิดหน้าประกอบด้วยโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่า ไมโอซิน (myosin) ส่วนเส้นใยละเอียด ชนิดบาง เป็นโปรตีนอีกชนิด เรียกว่า แอกติน (actin) เมื่อกล้ามเนื้อหดตัว เส้นใยละเอียดจะเลื่อนมาซ้อนกัน ทำให้กล้ามเนื้อสั้นและหน้าขึ้นกล้ามเนื้อแบ่งเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดหดตัวช้า ซึ่งใช้พลังงานหดตัวน้อยกว่า ทำให้ทำงานได้นาน โดยไม่ล้า ชนิดหดตัวเร็ว ซึ่งใช้พลังงานหดตัวมากกว่า สามารถให้กำลังออกมามากในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ล้าเร็วกล้ามเนื้อที่ต้นคอที่พยุงรับน้ำหนักศีรษะเป็นกล้ามเนื้อชนิดหดตัวช้ากล้ามเนื้อแขนที่ใขว้างวัตถุเป้นกล้ามเนื้อชนิดหดตัวเร็วกล้ามเนื้อหัวใจประกอบขึ้นจากเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อหัวใจซึ่งเป็นกล้ามเนื้อลายชนิดหนึ่งมีเส้นใยที่เกรี่ยวกันเป็นรูปตัว Y กล้ามเนื้ออวัยวะภายในประกอบขึ้นจากเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเรียบมีรูปร่างคล้ายกระสวยทอผ้า

วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

...อันตรายจากน้ำอัดลม ....



...อันตรายจากน้ำอัดลม ...

คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งเสียชิวิตเนื่องจากไตวายทั้งสองข้าง เธอได้รับการรักษาที่รพ.เพอร์ทามิน่าเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยได้รับอนุญาตให้กินได้แค่นํ้า 1 แก้วในหนึ่งวันเท่านั้น หมอให้การรักษาเธอ แต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เธอเล่าว่าเธอดื่มนํ้าอัดลมตอนทานอาหารกลางวันทุกวัน แต่แม้ว่าเธอจะดื่มนํ้าอัดลมเพียงวันละ 1 แก้ว มันก็สามารถทำลายอวัยวะภายในของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตลงเมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว โดยทิ้งบุตรชายวัย 1 ขวบไว้ นํ้าอัดลมอันตราย!!! หัวข้อนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับ" โค้ก" ซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่ชอบดื่มโค้กหรือเป๊ปซี่ซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับนํ้าอัดลมดีแล้ว นํ้าอัดลมสามารถ.... .........ทำความสะอาดห้องนํ้าโดยการรินโค้กลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในโค้กจะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี .........ใช้ขัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ขยําเป็นชิ้นเล็ก ๆและจุ่มโค้ก ใช้ทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถโดยการรินโค้กให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้ ช่วยทำให้รอยสนิมบนผ้าจางลงโดยการจุ่มผ้าในโค้กประมาณ 2-3 นาที .........ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงในกระทะซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วย อลูมิเนียมฟอยล์ลงไป แกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุก และผสมแฮมกับโค้กจะได้นํ้าเกรวี่สีนํ้าตาล ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทโค้ก 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมนํ้ายาซักผ้าและซักตามปกติ โค้กจะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง .........และยังช่วยทำความสะอาดรอยนํ้าซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย แล้วเราก็ดื่มสิ่งนี้ลงไป!!! ข้อมูลเกี่ยวกับโค้กและเป๊ปซี่ นํ้าอัดลม เช่น โค้ก หรือ เป๊ปซี่มีค่ากรดด่างเท่ากับ 3.4 โดยประมาณซึ่งค่าความเป็นกรดนี้สามารถกัดกร่อนฟันและกระดูกได้ ............ร่างกายคนเราจะหยุดสร้างกระดูก เมื่อเรามีอายุประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นกระดูกจะกร่อนลงประมาณ 8-18% ในแต่ละปี โดยขึ้นอยู่กับความเป็นกรดของอาหารซึ่งบริโภคเข้าไป(ค่าความเป็นกรดไม่ได้ขึ้ นกับรสชาติของอาหาร แต่ขึ้นกับค่าของธาตุโปแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม เช่นฟอสฟอรัส เป็นต้น) และจะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ส่วนประกอบของแคลเซียมซึ่งมีศักยภาพในการกัดกร่อนกระดูกจะไหลเวียนอยู่ในเส้น เลือดฝอย เส้นเลือดใหญ่เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ซึ่งจะมีผลต่อการทำงานของตับ ............นํ้าอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของนํ้าตาล มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวก วัตถุกันเสียและสีมากกว่า บางคนชอบดื่มนํ้าอัดลมเย็นๆหลังทานอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ............ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่นํ้าอัดลมเย็นๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิตํ่ากว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกาย ตํ่าลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสียและส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างก าย สารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้จะส่งผลให้เชื้อโรคต่างๆเจริญเติบโตได้ดีขึ้น คิดให้ดีก่อนที่คุณ จะดื่มโค้ก เป๊ปซี่ หรือนํ้าอัดลมประเภทอื่น ...........คุณเคยคิดเวลาคุณดื่มนํ้าอัดลมหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไป คุณกำลังกลืนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม สองเดือนต่อมา D2 มีการแข่งขันในมหาวิทยาลัย เดลีว่า "ใครดื่มโค้กได้มากที่สุด" ผู้ชนะดื่มโค้กเข้าไป 8 ขวด และเสียชีวิตทันทีเพราะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือด มากเกินไป และมีก๊าซออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ ...........หลังจากนั้น ผู้อำนวยการจึงสั่งห้ามขายนํ้าอัดลมในห้องอาหารของมหาวิทยาลัยอีก มีคนใส่ฟันซึ่งหลุดแล้วลงไปในขวดเป๊ปซี่ และมันถูกกัดกร่อนในเวลา 10 วัน ฟันและกระดูกเป็นอวัยวะในร่างกายเพียงอย่างเดียวซึ่งสามารถคงอยู่ได้ อีกหลายปีหลังจากที่มนุษย์เสียชีวิตลง ลองคิดดูสิว่านํ้าอัดลมจะมีผลอย่างไรต่อลำไส้อ่อนๆ และกระเพาะอาหารของเรา

อันตรายจากน้ำอัดลม ....



Water & Coke น้ำ กับ โค้ก ถ้าท่านรู้เรื่องนี้ ท่านจะดื่มน้ำมากขึ้น เพราะน้ำเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย 75% มีงานวิจัยพบว่าในคน 100 คน ที่ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว จะช่วยให้คน 80 คนลดอาการปวดหลังปวดข้อลงได้ ดื่มน้ำวันละ 5 แก้วลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ได้ถึง 45 % มะเร็งเต้านมได้ 79% และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50% ทีนี้มาลองรู้จักน้ำ “โค้ก” กันหน่อย แน่นอนโค้กรสชาดยอดเยี่ยม แต่ตำรวจทางหลวงจะบรรทุกโค้ก 2 แกลลอนในช่องท้ายรถเพื่อเวลามีรถชนกันสามารถเอา 'น้ำโค้ก' ล้างเลือดบนถนนได้เกลี้ยงเกลา ถ้าเอา T-bone steak ใส่ในชามกะละมังที่มีน้ำโค้กเต็ม จะพบว่าจะถูกละลายไปหมดใน2 วัน รินโค้ก 1 กระป๋องลงในโถส้วมทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วชักโครกกรดซิตริกในโค้กจะล้างคราบสกปรกในโถส้วมได้สะอาด
ถ้าต้องการกัดสนิมที่กันชนชุมโครเมี่ยมของรถ ให้เอาที่ขัดที่ทำด้วย foil ชุบโค้ก ขัดสนิมจะออกหมด
ถ้าจะล้างทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ที่มีคราบกรดเกลือเกาะขาวๆ ให้เทน้ำโค้ก ฟองจะกัดคราบขาวออกได้หมด ถ้าจุดขวดติดแน่น งัดไม่ออก เอาผ้าชุบน้ำโค้กหุ้มไว้หลายๆ นาที จะบิดจุดขวดออกได้โดยง่าย ถ้าจะปิ้ง moist ham ให้เทโค้ก 1 กระป๋อง เทลงในกระทะ ห่อแฮมด้วยอะลูมิเนียมฟอล์ยแล้วปิ้ง 30 นาที ก่อนแฮมจะสุก แกะฟอล์ยออก ปล่อยให้น้ำเนื้อหยดลงไปผสมกับน้ำโค้กในกระทะ ท่านจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล การล้างคราบไขมันจากเสื้อผ้า ให้ใช้น้ำโค้ก 1 กระป๋อง ผสมกับผงซักฟอกในปริมาณที่จะใส่ในเครื่องซัก ปล่อยให้ซักด้วยเครื่องตามปกติ โค้กจะช่วยกำจัดคราบไขมันได้สะอาดหมดจด ท่านสามารถผสมโค้ก ลงในน้ำล้างกระจกรถยนต์ ฟอสฟอริคแอซิดในโค้ก จะช่วยทำความสะอาดกระจกได้ดี น้ำโค้กมี pH 2.8 ถ้าตัดเล็บแช่ในน้ำโค้ก 4 วัน จะละลายหมด เวลาขนย้ายน้ำโค้กเข้มข้นเพื่อส่งตามโรงงานทั่วโลก ที่รถ truck จะต้องติดป้ายไว้ว่า “มีวัตถุที่มีกรดกัดกร่อนได้ เป็นอันตราย” บริษัทขายน้ำโค้ก ใช้น้ำโค้กทำความสะอาดเครื่องยนต์ของรถ truck มานานประมาณ 20 ปีแล้ว ท่านยังอยากดื่ม โค้ก หรือดื่มน้ำกัน เลือกเอาเอง

ดอกไม้ประจำวันเกิด ...



เธอที่เกิดวันอาทิตย์ ต้นไม้ประจำวันเกิดเป็น ต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิดเป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือลัน เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย \

เธอที่เกิดวันจันทร์ ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี ดอกไม้ประจำวันเกิดคือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน

เธอที่เกิดวันอังคาร ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุขดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

เธอที่เกิดวันพุธ ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพดอกไม้ประจำวันเกิดคือ คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน

เธอที่เกิดวันพฤหัสบดี เธอที่เกิดวันนี้ มีต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวานเธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ

เธอที่เกิดวันศุกร์ ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน ส่วนดอกไม้ที่ถูกแลกโชคดีของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือหรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ"คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง

เธอที่เกิดวันเสาร์ จะมีต้นไม้พวก ตันกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด และดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอกที่กระทบใจคนขี้เหงาวันเสาร์ได้ดีทีเดียว


มองในมุมแตกต่าง .. ^^




..** มองในมุมต่าง **

ความทุกข์...... มีไว้เป็นแบบทดสอบความแข็งแกร่งของชีวิต
ความเศร้า...... หนทางแสดงออกของความทุกข์

ความเหงา...... เป็นเพื่อนที่ดีสำหรับการเรียนรู้ตัวเอง

ความสุข....... มีให้เก็บเกี่ยวได้เสมอตลอดเวลา....แม้กระทั่งใน เวลาแห่งทุกข์

ความจริง...... เป็นสิ่งที่คนใช้กันน้อย....และมักมองผ่าน

ความลวง...... สิ่งที่น่าเกลียดที่สุด.........แต่คนชอบใช้

ความรัก....... คือสิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่รู้สึกได้จากหัวใจ

เรียนเก่งทำไง .. อ่าน ..อ่าน ^0^



-- 10 วิธีทำให้เรียนเก่ง --
1. มีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับนั่งเรียนหนังสือที่บ้าน จำไว้ว่าสิ่งแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้เรามีสมาธิในการเรียน
2. ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนว่าจะอ่านแต่ละวิชา หรือทำการบ้านมากน้อยแค่ไหนและลงมือทำอย่างเต็มที่จนเสร็จ
3. บางวิชาที่ยากๆให้รวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ช่วยกันติว ช่วยกันเรียน ผลัดกันค้นคว้า ตั้งคำถาม จะช่วยให้เก่งกันยกกลุ่ม
4. มีเวลาอ่านหนังสือทบทวนบทเรียนทุกๆวัน วันละนิดวันละหน่อย ฝึกจนเป็นนิสัย อย่าตั้งใจเรียนหนังสือเป็นพักๆ
5. ฝึกทักษะการเรียนอยู่เสมอๆ เช่น ฝึกอ่านให้เร็วขึ้น จดบันทึกเป็นระบบ จัดระเบียบความคิด และ สรุปเนื้อหาจะช่วยในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
6. นั่งใกล้ครูมากที่สุด จะได้ไม่มีอะไรมาดึง ความสนใจในการเรียนของเรา
7. ทำการบ้านหรือรายงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จทันเวลา ข้อนี้สำคัญมาก เพราะถ้าทำเสร็จเร็วเท่าไร จะมีเวลาอ่านหนังสือมากขึ้น
8. จัดลำดับความสำคัญของวิชาที่ต้องทำ เช่น วิชาไหนด่วนที่สุด หรือหัวข้อไหนไม่เข่าใจ ต้องเรียงลำดับไว้ และ ทำ ตามให้ได้
9. ทำความเข้าใจว่าครูผู้สอนแต่ละวิชามีการให้คะแนนอย่างไร คะแนนเก็บเท่าไร คะแนนสอบเท่าไร วางแผนทำคะแนนให้ดีในแต่ละส่วน
10. สำคัญที่สุดในการเรียน ก็คือมุ่งมั่นตั้งใจเรียนไม่มีใครช่วยเราได้ ถ้าตัวเราเองไม่อยากเรียนเก่ง เพราะฉะนั้นจำไว้ว่า Work Smart , Not Hard

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14


พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีพระนามเดิมว่า หลุยส์-ดิเยอดองเน (Louis-Dieudonné) สมัยประทับอยู่ที่พระราชวังแซงต์-แชร์แมง-ออง-เลย์ (วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1638) ต่อมามีพระนามว่า เลอ รัว-โซแลย (le Roi-Soleil) ซึ่งแปลว่า สุริยกษัตริย์ เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1715 เมื่อพระองค์ประทับที่แวร์ซายส์ (Versailles) และพระนามต่อมาคือ หลุยส์ เลอ กรองด์ (Louis le Grand) แปลว่าหลุยส์ผู้ยิ่งใหญ่ เริ่มใช้วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1643 จนกระทั่งพระองค์สวรรคต พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส แลพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งนาวาร์ พระองค์มีเชื้อสายทั้งราชวงศ์บูร์บงและราชวงศ์กาเปเตียง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ครองราชย์เป็นเวลา 72 ปี จัดว่าเป็นผู้ที่ครองประเทศฝรั่งเศสนานที่สุด อีกทั้งยังเป็นพระมหากษัตริย์ในที่ครองราชย์นานที่สุดในยุโรปอีกด้วย
พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ไม่กี่เดือนก่อนวันครบรอบวันพระราชสมภพ ซึ่งจะมีพระชันษา 5 ปี แต่สมัยนั้น (
ค.ศ. 1648 - ค.ศ. 1652) มีกบฎฟรองด์ (Fronde) ทำให้หน้าที่ของพระองค์มีอย่างเดียวคือ ควบคุมรัฐบาล เนื่องจากนายกรัฐมนตรี เลอ คาร์ดินาล มาซาแร็ง (le Cardinal Mazarin) หรือสังฆราชมาซาแร็ง เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1661 ออย่างไรก็ตามพระองค์ไม่แต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและประกาศว่า จะบริหารประเทศด้วยพระองค์เอง หลังจากคณะรัฐมนตรีของกอลแบรต์ (Colbert) ครบวาระ (หรือหมดอำนาจในการบริหารประเทศ) ในปี ค.ศ. 1683 และของลูวัร์ (คณะรัฐมนตรีของลูวัร์นี้ขึ้นตำแหน่งต่อจากลูแบร์) ครบวาระในปี ค.ศ. 1691
สมัยของพระองค์โดดเด่นในเรื่องโครงสร้างของ
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช (สิทธิกษัตริย์ = เทพที่มาจากสวรรค์) ประโยชน์ของพระราชอำนาจอันเด็ดขาดของพระองค์ทำให้ความวุ่นวายต่างๆหมดสิ้นไปจากฝรั่งเศส อาทิเช่นเรื่องขุนนางก่อกบฎ (สมัยพระเจ้าหลุยส์ 14 ไม่มีขุนนางผู้ไหนกล้าก่อกบฎ เพราะพระองค์ทรงมีพระราชอำจนาจเด็ดขาด) เรื่องการประท้วงของสภา เรื่องการจลาจลของพวกนิกายโปรแตสแตนท์และชาวนา ซึ่งเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสมานานเป็นเวลามากกว่า 1 ทศวรรษแล้ว
ขณะที่
พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส สวรรคต ขณะนั้นพระเจ้าหลุยส์ 14 มีพระชนมายุเพียง 5 ชันษา เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์มาก พระราชมารดาของพระองค์จึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ส่วนสังคราชมาซาแร็งเป็นผู้อุปถัมภ์พระเจ้าหลุยส์ ดิเยอดองเน ท่านรับผิดชอบด้านการศีกษาเพื่อที่จะให้พระเจ้าหลุยส์ขึ้นเป็นกษัตริย์ในอนาคต ซึ่งการศึกษานี้จะเน้นหนักไปด้านปฏิบัติ มากกว่าด้านความรู้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่า สังฆราชมาซาแร็งใช้อำนาจโดยผ่านลูกอุปถัมภ์ของท่านเอง ซึ่งก็คือหลุยส์ดิเยอดองเน สังฆราชมาซาแร็งถ่ายทอดความชื่นชอบในด้านศิลปะให้หลุยส์ดิเยอดองเนและสอนความรู้พื้นฐานด้านการทหาร, การเมืองและการทูต อีกทั้ง สังฆราชผู้นี้ยังนำหลุยส์ดิเยอดองเนเข้าร่วมในสภาเมื่อปี ค.ศ. 1650
พระองค์ได้ทรงลดทอนอำนาจของชนชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการรบ ด้วยทรงรับสั่งให้พวกเขาเหล่านั้นรับใช้พระองค์เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกในราชสำนัก อันเป็นการถ่ายโอนอำนาจมายังระบบธุรการแบบรวมศูนย์ และทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นชนชั้นสูงที่ใช้สติปัญญา พระองค์ทรงดำริให้สร้าง
พระราชวังแวร์ซายส์ ขึ้นในอุทยาน โดยมีการจัดสวนให้เป็นรูปทรงเรขาคณิต พระราชวังแวร์ซายที่มีขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่ห่างออกไปราว 15 กิโลเมตรทางตะวันตกของกรุงปารีส ที่เมืองแวร์ซาย ในเขตปริมณฑลของกรุงปารีส
[
แก้] ครอบครัว
พระองค์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับ
พระนางมารี-เทเรส แห่งสเปน (พ.ศ. 2181 - พ.ศ. 2226) พระธิดาของพระเจ้าฟิลิปป์ที่ 4 แห่งสเปน กับพระนางเอลิซาเบธ แห่งฝรั่งเศส (พ.ศ. 2145 - พ.ศ. 2187) ทรงมีโอรสธิดารวมห้าพระองค์:
เจ้าชาย
หลุยส์แห่งฝรั่งเศส (พ.ศ. 2204 - พ.ศ. 2254) ผู้ได้รับการแต่งตั้งเป็นมกุฎราชกุมาร
เจ้าหญิงมารี-เทเรส (
พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2215)
เจ้าหญิงอานน์-เอลิซาเบธ (
พ.ศ. 2205 - พ.ศ. 2205)
เจ้าชาย
หลุยส์แห่งฝรั่งเศส ( พ.ศ. 2210 - พ.ศ. 2226)
เจ้าหญิงมารี-อานน์ (
พ.ศ. 2207 - พ.ศ. 2207)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมีพระสนมมากมาย ในจำนวนนั้น รวมถึง
หลุยส์ เดอ ลา วาลลิแยร์, อองเจลลิก เดอ ฟงตองจ์, มาดาม เดอ มงต์เตสปอง และ มาดาม เดอ มังเตอนง (ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงอภิเษกสมรสด้วยอย่างลับๆ ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของราชินี ในปี พ.ศ. 2227) ในวัยรุ่น พระองค์ได้ทรงรู้จักกับหลานสาวของพระคาร์ดินัลมาซารัง ชื่อมารี มองซีนี ความรักแบบเพื่อนของทั้งสองถูกขัดขวางโดยพระคาร์ดินัล ผู้ประสงค์ให้พระองค์อภิเษกสมรสกับราชนิกูลของประเทศสเปนเพื่อผลประโยชน์ของฝรั่งเศส และของตัวพระคาร์ดินัลเอง คนมักจะพูดกันว่านางสาวเดอ โบเวส์โชคดีมากที่ไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แต่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็ยังกังขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี พระเจ้าหลุยส์ยังทรงมีสัมพันธ์เป็นเวลายาวนานอีกกับเด็กสาวพนักงานซักรีดของพระราชวังลูฟ ด้วยความเจ้าชู้ของพระองค์ ต่อมาภายหลังได้ทรงรับสั่งให้สร้างบันไดลับไว้มากมายในพระราชวังแวร์ซายเพื่อจะได้สเด็จไปหาพระสนมของพระองค์ได้สะดวก ความสัมพันธ์ดังกล่าวทำให้พวกเคร่งศาสนากลุ่มหนึ่งไม่พอใจ โบสซูเอต์ กับ มาดาม เดอ มังเตอนง จึงพยายามชักชวนให้พระองค์หันกลับมาสู่ความทรงคุณธรรมอีกครั้ง ซึ่งทำคนทั่วไปรู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของพระราชวังแวร์ซายได้ แต่ก็ทำให้ผู้บันทึกประวัติหลายคนรู้สึกเสียดาย
ปัญหาเรื่องพระพลานามัยที่ทรุดโทรมและปัญหาการหารัชทายาท ทำให้เกิดบรรยากาศเศร้าสลดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระองค์ต้องสูญเสียพระโอรส เจ้าชายหลุยส์แห่งฝรั่งเศส (มกุฎราชกุมาร) ไปในปี
พ.ศ. 2254 ในปีถัดมา ดยุคแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นพระราชนัดดา พร้อมด้วยโอรสองค์โตของดยุคพระองค์นี้ก็ได้สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วยโรคฝีดาษ องค์มกุฎราชกุมารทรงมีพระโอรสอีกสององค์ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้เป็นกษัตริย์ของสเปนภายใต้พระนามว่าฟิลลิปเปที่ 5 แห่งสเปน เป็นผู้ซึ่งปฏิเสธสิทธิในการขึ้นครองบัลลังก์ฝรั่งเศสที่สืบเนื่องมาจากสงครามชิงบัลลังก์ในสเปนภายใต้สนธิสัญญาอูเทรชต์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2257 ดยุคแห่งแบรี โอรสอีกพระองค์หนึ่งของมกุฎราชกุมารก็สิ้นพระชนม์ลงอีกด้วย ราชนิกูลชายผู้สืบเชื้ออย่างถูกต้องจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในขณะนั้นจึงได้แก่ดยุคแห่งอองจู พระโอรสองค์รองของเจ้าชายแห่งบูกอญจ์ ผู้เป็นเหลนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2253แต่ก็เป็นเด็กชายผู้มีพลานามัยเปราะบาง นอกเหนือจากดยุคแห่งอองจูผู้ซึ่งได้รับตำแหน่งมกุฎราชกุมารแล้ว ก็มีเจ้าชายผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากพระองค์อยู่อีกไม่มากในสายมารดาอื่น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จึงทรงตัดสินพระทัยสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ราชวงศ์ด้วยการมอบสิทธิ์การขึ้นครองบัลลังก์ให้แก่เจ้าชายอีกสองพระองค์ด้วยเช่นกัน ได้แก่เจ้าชายหลุยส์ ออกุสต์ เดอ บูร์บง ดยุคแห่งเมน และเจ้าชายหลุยส์ อเล็กซองเดรอ เคาท์แห่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2258 ด้วยโรคติดเชื้อจากแผลกดทับ พระองค์ได้ทรงประกาศก่อนสิ้นพระทัยว่า "ข้าจะไปแล้ว แต่รัฐของข้าจะคงอยู่ตลอดไป" รัชสมัยของพระองค์กินเวลา 72 ปี กับ 100 วัน พระศพถูกฝังไว้ที่บาซิลิก ซังต์ เดอนี ซึ่งหลุมพระศพนี้ถูกบุกรุกทำลายในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสในกาลต่อมา ดยุคแห่งอองจู เหลนของพระองค์ผู้มีพระชนม์เพียงห้าชันษาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ต่อมา ภายใต้พระนามว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 แห่งฝรั่งเศส โดยมีเจ้าชายฟิลิปป์ ดยุคแห่งออร์เลอง พระนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้สำเร็จราชการตลอดช่วงที่กษัตริย์ยังทรงพระเยาว์ตูลูส พระโอรสอันชอบธรรมสองพระองค์ที่ประสูติแต่มาดาม เดอ มงต์เตสปองช่วงรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นโดดเด่นด้วยการรังสรรค์วัฒนธรรมชั้นสูงของฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศสได้กลายเป็นภาษาของคนชั้นสูง และภาษาทางการทูตในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ คริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศรัสเซีย
ในปี
พ.ศ. 2217 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ซื้อหมู่เกาะมาร์ตีนีก มาจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่ยึดเกาะนี้มาได้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2178 ในปี พ.ศ. 2232 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงประกาศ"กฎดำ" ที่ให้อนุญาตให้มีทาสได้ในดินแดนอาณานิคม ผู้ที่ชื่นชมพระองค์ได้มองกฎดำนี้ว่าเป็นกฎที่ทำให้มีการค้าทาสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจะได้จำกัดการกระทำทารุณกรรมต่อทาส และมอบสถานภาพทางสังคมให้แก่ทาส ซึ่งก่อนหน้านี้ เป็นได้เพียงทรัพย์สมบัติโดยตรงของเจ้าของทาส เฉกเช่นสิ่งของเครื่องใช้ และด้วยกฎนี้ พวกทาสสามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของทรัพย์สินได้ในจำนวนจำกัด มีสิทธิ์เกษียณอายุเมื่อถึงวัยชรา มีสิทธิ์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากเจ้าของ และได้รับอาหารที่ดี กฎดำจึงกลายเป็นกรอบของสนธิสัญญาทาสในสมัยนั้น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงเป็นที่รักและเคารพของประชาชนชาวฝรั่งเศส จากการที่พระองค์ทำให้ประเทศเกรียงไกรและแผ่ขยายอาณาเขตไปเป็นอันมาก อย่างไรก็ดี การตกอยู่ในภาวะสงครามตลอดเวลาทำให้รัฐต้องขาดดุล และต้องเก็บภาษีอากรจากชาวไร่ชาวนาเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
อเล็กซิส เดอ ทอกเกอวิลล์ นักประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสได้แสดงความเห็นว่า การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เปลี่ยนพวกชนชั้นสูงให้กลายเป็นข้าราชบริพารธรรมดา รวมทั้งยังเข้าพวกกับผู้ดีใหม่ที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้แต่ไม่ให้มีอำนาจทางการเมือง มีส่วนผลักดันให้เกิดความไม่มั่นคงในสเถียรภาพทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในเวลาต่อมา และเป็นชนวนก่อให้เกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสในที่สุด
ในช่วงต้นของรัชสมัย ประเทศมหาอำนาจในยุโรปอีกประเทศหนึ่งคือ
ประเทศสเปน ในขณะที่สหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอังกฤษ ได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจในช่วงปลายรัชสมัยของพระองค์
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงครองราชย์ตรงกับช่วงระหว่างรัชสมัยของ
สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จเจ้าฟ้าชัย สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ) และ สมเด็จพระเจ้าสรรเพชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ) แห่งสมัยอยุธยา

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สีผสมอาหารน่ากลัว



สีผสมอาหารภัยใกล้ตัว ... ที่มากับความสวยงาม
ในปัจจุบันจะพบลว่าทั้งอาหารสด อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มต่าง ๆ ที่ขายอยู่ทั่วไป มักมีสีสันสดใสสวยงาม ชวนรับทาน แต่แฝงไว้ด้วยอันตรายเนื่องจากผู้ผลิตมัก ใส่สีสังเคราะห์ทางเคมีลงไปโดยคาดหวังว่า อาหารและเครื่องดื่มที่มีสีสด ใสสวยงามจะเป็นที่ ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ดี โดยเฉพาะเด็ก ๆ ซึ่งจะช่วยให้ขายดี ได้กำไรมาก ทำให้มองข้ามพิษภัย ที่อาจจะเกิดขึ้นไป ดังนั้นในการเลือก ซื้ออาหารและเครื่องดื่มจำเป็น ต้องคำนึงถึงอันตราย ที่อาจเกิดจากสีผสม อาหารให้มาก ๆ และควรเลือกที่ปลอดภัยให้มากที่สุด
สีผสมอาหารมีกี่ประเภท ตามกฏหมายได้กำหนดสีที่อนุญาตให้ใช้ผสมอาหารได้ 3 ประเภท คือ
สีอินทรย์ ที่ได้จากการสังเคราะห์ ได้แก่ สีผสมอาหาร
สีอนินทรีย์ เป็นสีที่ได้จากสิ่งไม่มีชีวิตในธรรมชาติ เช่นผงถ่านที่ได้จากการเผากาบมะพร้าว เกลือ ทองแดง เป็นต้น
สีธรรมชาติได้จากการสกัดพืช สัตว์ เช่น
สีเขียว..........จากใบเตย
สีแดง...........จากครั่ง กระเจี๊ยบ มะเขือเทศ พริกแดง
สีเหลือง........จากขมิ้นไข่แดง ฟักทอง
สีน้ำเงิน........จากดอกอัญชัน เป็นต้น
อันตรายจากสีผสมอาหาร
อันตรายส่วนใหญ่เกิดจากสีสังเคราะห์ทางเคมีซึ่งผู้ผลิตบางคนมักใช้สีย้อมผ้า หรือสีย้อมกระดาษ ซึ่งมีโลหะหนักพวก ตะกั่ว ปรอท สารหนู สังกะสี โครเมี่ยม ปะปนอยู่ซึ่งทำให้เกิดผลต่อร่างกาย ดังนี้
ตะกั่ว: ระยะแรก จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลี่ยเบื่ออาหารปวดศีรษะ โลหิตจาง ถ้าสะสมมากขึ้นจะมีอัมพาต ที่แขน ขา เพ้อ ชักกระตุก หมดสติ
ปรอท: กรณีเฉียบพลัน จะมีอาการคลื่นไส้ ท้องเดิน ปวดมวนท้องรุนแรง ถ้าสะสมเรื้อรัง เหงือกจะบวมแดงคล้ำ ฝันตาย เบื่ออาหาร อ่อนเพลี่ย
สารหนู: จะเกิดพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้ผิดปกติ ตับอักเสบ หัวใจวาย
โครเมี่ยม:ถ้าสะสมในร่างกายเกินขนาดจะเกิดอาการเวียนศีรษะ กระหายน้ำรุ่นแรงอาเจียน หมดสติ และ เสียชีวิต เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเป็นพิษ อาหารที่ห้ามใส่สี
อาหารที่ห้ามใส่สีผสมอาหารทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสีจากธรรมชาติ หรือสีสังเคราะห์ มี 14 ชนิด คือ
อาหารทารก
ทอดมัน
กะปิ
ข้าวเกรียบ
แหนม
ไส้กรอก
ลูกชิ้น หมูยอ นมดัดแปลงสำหรับเด็ก
อาหารเสริมสำหรับเด็ก
ผลไม้สด ผลไม้ดอง
ผักดอง ชนิดที่ปรุงแต่งทำให้เค็มหรือหวาน
เนื้อสัตว์ทุกชนิด ที่ปรุงแต่ง รมควัน ทำให้แห้ง
เนื้อสัตว์สดทุกชนิด ยกเว้น ไก่
เนื้อสัตว์ทุกชนิดที่ปรุงแต่งทำให้เค็มหรือหวาน
อันตรายจากสีผสมอาหาร
ด้านผู้ผลิต
ใช้สีจากธรรมชาติใส่ในอาหาร
ใช้สังเคราะห์ทางเคมีเฉพาะ "สีผสมอาหาร" เท่านั้น โดยใช้ในปริมาณที่กำหนด คือ 1 มิลลิกรัม ต่อ อาหาร 1 กิโลกรัม
ในการเลือกซื้อสีผสมอาหาร ต้องสังเกตุข้อความบนฉลากดังนี้
มีคำว่า " สีผสมอาหาร"
ชื่อสามัญของสี
เลขทะเบียนอาหารของสีในเครื่องหมาย อย.
ปริมาณสุทธิ
ชื่อและที่ตั้งของสถานที่ผลิต ด้านผู้บริโภค
เลือกซื้ออาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่ใส่สี ถ้ามีสีควรเป็นสีอื่นอ่อน ๆ หรือ สีธรรมชาติ
ถ้าซื้อขนม อาหาร หรือเครื่องดื่มใส่สีที่บรรจุในภาชนะปิดสนิท ต้องมีเลขทะเบียนตำรับอาหาร หรือ เลขที่ อนุญาตฉลากอาหาร
บริโภคอาหาร และเครื่องดื่มไม่ใส่สีเป็นผลดีต่อสุขภาพ
ข้อมูล สำนักงานอนามัย.สีผสมอาหาร ภัยใกล้ตัวที่มากับความสวยงาม.บริษัทเซเว่นพริ้นติ้ง จำกัด. พิมพ์ครั้งที่1 :กันยายน พ.ศ. 2537.ข้อมูลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2540

วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สุนัข..สุนัข..สุนัข..


ประวัติสุนัข
สุนัข มีต้นกำเนิดมาจากสุนัขป่า โดยมนุษย์แถบขั้วโลกเหนือ นำมาเลี้ยงเมื่อ 12,000 ปีมาแล้วเชื่อกันว่า สุนัขป่าตัวแรก เกิดขึ้นเมื่อ 100 ล้านปีที่แล้ว สมัยแรกเริ่ม ก็ไม่ได้มีหน้าตา เหมือนสุนัขในปัจจุบันนี้ ก็คงเหมือนคนนั่นแหละ ที่กว่าจะพัฒนามาจนมีหน้าตาเหมือนปัจจุบัน ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง กว่าที่เราจะได้รู้จักสุนัขที่หน้าตาเหมือนสุนัขในปัจจุบันนี้ จากรูปภาพโบราณอายุประมาณ 12,000 - 14,000 ปี ในยุโรป นักวิทยาศาสตร์คาดว่า ต้นกำเนิดของสุนัข น่าจะมาจากการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างสุนัขจิ้งจอก และก็ สุนัขป่า เพราะความเฉลียวฉลาด ความสามารถรอบตัว และ การเป็นสัตว์สังคมของมันนี่เอง ที่ทำให้มนุษย์นำมันมาเลี้ยงจนแพร่หลายไปทั่วโลก และ การอพยพข้ามถิ่น และ ทวีปต่างๆ นี้เองทำให้ สุนัขมีหลายพันธุ์

. สุนัขล่าเนื้อ (Hounds) มีประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นที่ดีมาก ผนวกกับความแข็งแรงของสรีระ ทำให้ Hounds เป็นสุนัขรุ่นแรกๆ ที่ถูกมนุษย์นำมาใช้ล่าสัตว์ สุนัขล่า เนื้ออาจแบ่งย่อย ได้อีก 2 กลุ่ม คือ
• กลุ่มที่มีสายตาดี เช่น เกรย์ฮาว์น อัฟกัน และ สะลูกี้ สุนัขพวกนี้จะว่องไว วิ่งได้เร็ว และ มีสายตาดีมาก ลักษณะทางกายภาพโดยทั่วไป จะมีรูปร่างสูง และช่วงขายาว
• กลุ่มที่มีประสาทการรับกลิ่นดี เช่น บัสเสทฮาว์น ดัชชุน สุนัขประเภทนี้จะมีขาสั้นแต่แข็งแรง หัวใหญ่ หูแผ่กว้างใหญ่ และ มีประสาทสัมผัสการรับกลิ่นที่ดีมาก ดีกว่ามนุษย์ ถึง 1 ล้านเท่าทีเดียว


2. สุนัขเพื่อเกมส์กีฬา (Sporting Dogs) เป็นสุนัขพันธุ์ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นผู้ช่วยในการล่าสัตว์โดยเฉพาะ หน้าที่ของมันคือ การค้นหาเหยื่อ และก็ นำเหยื่อที่ถูกยิงแล้ว กลับมาให้เจ้าของ เราสามารถแบ่งสุนัขเพื่อเกมส์กีฬาได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
• สเปเนี่ยน เป็นสุนัขที่มีรูปร่างขนาดกลางที่เฉลียวฉลาด จมูกรับกลิ่นได้ดีมาก มีลักษณะเด่น คือ หูจะยาว และตูบ แบ่งย่อยได้เป็น 2 กลุ่ม คือ พันธุ์ที่ใช้ล่าสัตว์ และพันธุ์ขนาด เล็ก ที่ปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มสุนัขที่เลี้ยงไว้ดูเล่น ... ในขณะที่ออกล่าสัตว์ เมื่อสเปเนี่ยนพบเหยื่อ มันจะไม่ส่งสัญญาณเตือนให้เจ้าของทราบ แต่ว่ามันจะพุ่งเข้าโจมตีเหยื่อเลย เจ้าของจึงต้องให้มันอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ คือ ประมาณ 20 - 65 เมตร เพื่อจะได้ยิงเหยื่อได้ทันก่อนจะหนีไป
• พอยเตอร์ และเซทเตอร์ เป็นพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าสเปเนี่ยน ขายาว หูตูบ และ จมูกรับกลิ่นได้ดีเยี่ยม ในการออกล่าสัตว์ เจ้าของจะให้สุนัขตามรอยเหยื่อ ออกไปได้ไกลกว่า ในกรณีของสเปเนี่ยน จนบางครั้งอาจลับสายตาไปเลยก็ได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อพบเหยื่อ สุนัขจะไม่เข้าโจมตี เหยื่อเลยทันที แต่จะส่งสัญญาณให้เจ้าของทราบ โดยการยืนและทำ จมูกฟุดฟิดไปยังจุดที่เหยื่ออยู่ หรือ บางครั้งอาจมีการยกขาหน้าร่วมด้วย สุนัขพันธุ์เซทเตอร์ ก็เช่นเดียวกัน มันจะส่งสัญญาณให้เจ้าของทราบโดยการยืนแข็งนิ่ง แล้วค่อยๆ นั่งลง โดยสุนัขที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี จะนิ่งคอยได้เป็นเวลานาน จนกว่าเจ้าของจะออกคำสั่งต่อไป มันจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง
• รีทรีพเวอร์ เป็นสุนัขที่เป็นมิตร แข็งแรง มีโครงสร้างที่ดี และ เชี่ยวชาญในการล่าสัตว์ โดยสิ่งที่มันถนัดคือ การค้นหา และ นำเหยื่อที่ถูกยิงกลับมาให้เจ้าของ โดยปกติแล้ว มันมักจะทำงานร่วมกับสุนัขพันธุ์สเปเนี่ยน โดยให้สเปเนี่ยนเป็นผู้เริ่มต้นค้นหา ส่วนรีทรีพเวอร์คอยนำเหยื่อที่ถูกยิงแล้วกลับมาให้3. สุนัขเทอร์เรีย (Terriers) ถือกำเนิดในประเทศอังกฤษ มันเป็นสุนัขขนาดเล็ก ที่มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น ชอบดมกลิ่น ตามรอย และ ขุดคุ้ยหาสิ่งที่มันสงสัย มันจึงถูกใช้เป็นผู้ ช่วยในการล่าสัตว์ โดยเทอร์เรียจะทำหน้าที่ตามรอยสัตว์ป่า เช่น กระต่าย หนู แบดเจอร์ หมาป่า เมื่อพบที่อยู่ของเหยื่อ มันจะมุดลงไปในรู ทำให้สัตว์เหล่านั้นตกใจ วิ่งออก มาจากรัง ให้คนตามล่าต่อไป แม้เทอร์เรียจะเป็นสุนัขขนาดเล็ก ขาสั้น แต่มันกลับเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไว มีชีวิตชีวา ผนวกกับนิสัยประจำตัวที่อดทน และกล้าหาญ ทำให้ มันถูกใช้เป็นสุนัขสงคราม บางยุคก็นำเทอร์เรียมาต่อสู้ในสนามแข่ง แต่ปัจจุบันนิยมเลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนเล่นภายในบ้าน
ประเภทของสุนัขเทอร์เรีย แยกย่อยได้อีกหลายพันธุ์ แต่เราอาจแบ่งเทอร์เรียเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ตามลักษณะของเส้นขน คือ
1. พันธุ์ขนเรียบ และ สั้น เช่น ฟอกซ์ เทอร์เรียขนสั้น 2. พันธุ์ขนหยาบ และ ยาว เช่น สก็อตทิช เทอร์เรีย และ เคอรี บลู เทอร์เรีย เป็นต้น
พันธุ์ยอดนิยม
ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้วว่า สุนัขเทอร์เรียมีต้นกำเนิดในอังกฤษ ซึ่งรวมถึงสก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์ด้วย อันที่จริงแล้ว บนเกาะอังกฤษนั้น มีเทอร์เรียมากมายหลายพันธุ์ กระจายไปตามท้องที่ต่างๆ แต่เทอร์เรียส่วนหนึ่งได้กลายพันธุ์ไป คงเหลือแต่ พันธุ์ที่ได้รับความนิยม เช่น ฟ็อกซ์ เทอร์เรีย, บูล เทอร์เรีย, แบดลิงตัน และ แมนเชสเตอร์เจ้าของ นอกจากนี้ รีทรีพเวอร์ยังว่ายน้ำได้ ดี มันจึงมักถูกใช้ในการล่าสัตว์ปีกที่บินอยู่เหนือน้ำ เช่น ห่านป่า เป็นต้น4. สุนัขทำงาน (Working dogs) หลังจากที่นำสุนัขป่ามาเลี้ยง เพื่อช่วยล่าสัตว์ มนุษย์ก็พบว่า สุนัขเป็นสัตว์ที่มีความสามารถ เกินกว่าที่คาด มันฉลาด แข็งแกร่ง ว่องไว อด ทน สายตาดีและ ตามกลิ่นได้อย่างดีเยี่ยม สุนัขจึงถูกคัดเลือกพันธุ์ เพื่อใช้งาน นอกเหนือจากการล่าสัตว์ จนได้สายพันธุ์สุนัขทำงาน ที่มีลักษณะเด่น แตกต่างกันไปมากมาย • ทักษะที่หลากหลาย เป็นเวลานับศตวรรษแล้ว ที่มนุษย์นำสุนัขมาใช้งาน เช่น เฝ้ายาม สำรวจหาระเบิด (ในสงคราม) ลากสัมภาระ ต้อนฝูงสัตว์ ตามรอยผู้ร้าย และ ช่วยเหลือผู้ ประสบภัย ปัจจุบันสุนัข ยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยตำรวจ นำทางคนตาบอด ตรวจค้นหายาเสพติด ก๊าซรั่ว ระเบิด และ ล่าสุดสุนัขนั้น็ยังถูกฝึกให้ช่วยเหลือคนหูหนวกได้อีกด้วย ตัวอย่างของสุนัขตำรวจ ได้แก่ บ็อกเซอร์ โดเบอร์แมน พินซ์เช่อร์ รอทไวเลอร์ เยอรมันเชพเพิร์ด เกรดเดน
• สุนัขขวัญใจชาวไร่ ยังมีสุนัขทำงานอีกกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของชาวไร่ อย่างเช่น Collie , Old English Sheepdog , German Shepherd , Shetland Sheepdog และ Corgi โดยสุนัขพวกนี้ จะช่วยชาวไร่ในการเฝ้าฝูงปศุสัตว์ คอยต้อนสัตว์ ออกไปกินหญ้า และ กลับบ้าน เป็นต้น พวกมันช่วย ชาวไร่ทำงานได้ดีมาก จึงไม่ น่าแปลกใจว่า เกือบทุกประเทศที่มีการเลี้ยงสัตว์ จะการพัฒนา สายพันธุ์สุนัขต้อนสัตว์ จนได้พันธุ์ประจำถิ่นของตนเอง เช่น Collie จากสก็อตแลนด์ Puli จากฮังการี และก็มี Corgi จากเวลส์ เป็นต้น
• สุนัขจอมอึด มีสุนัขอีกพวกหนึ่งที่แข็งแกร่ง และ อดทนมาก จนสามารถทำงานหนักๆ แทนมนุษย์ได้ เช่น ในอังกฤษสุนัขถูกใช้ให้ส่งจดหมายระหว่างเมือง และก็ ลากเกวียน บรรทุกของนอกจากนี้ ประเทศในเขตอากาศหนาวมากๆ ซึ่งการเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังใช้สุนัข เช่น Alaskan Malamute, Siberian Husky และก็ Samoyed เพื่อเป็นพาหนะเดินทาง โดยสุนัขพวกนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางถึง 160 กิโลเมตร ภายในเวลา 18 ชั่วโมง และสุนัข 4 ตัวที่ใช้เทียมล้อเลื่อนสามารถลากเลื่อนที่ หนักถึง 180 กิโลกรัมได้ระยะทาง 30 ไมล์ต่อวันทีเดียว !!
• ความสามารถเฉพาะอย่าง มนุษย์ยังใช้สุนัขทำงานอีกหลายประเภท โดยสุนัขบางพันธุ์ถูกฝึกเพื่อทำงานเฉพาะอย่าง เช่น สุนัขเซนต์ เบอร์นาร์ดถูกฝึกให้ค้นหา และ นำบรั่นดี ไปให้กับผู้หลงทางในหิมะ Bernese Mountain ลากเลื่อนที่บรรทุกนม และ เนยไปส่งที่ตลาด Portuguese Water Dog ดำน้ำงมหาอวนและเครื่องมือหาปลาที่ตก น้ำ หรือแม้กระทั่งปลาที่หลุดออกไปจากอวน นอกจากนี้ ยังมีสุนัขที่ทำหน้าที่ประหลาดที่สุด คือ สุนัขพันธุ์ Norwegian Lundehund ถูกใช้ให้เป็นหมาล่านก !! โดยมัน ถูกฝึกมาให้ทำงานในถ้ำ หรือหน้าผาที่สูงชัน เพื่อจู่โจมรังนกพัฟฟิน (ถ้าเป็นในไทยต้องถูกฝึกไว้เก็บรังนกนางแอ่นแน่เลย...)5. สุนัขตุ๊กตา (Toy) เป็นสุนัขตัวเล็กๆ ซึ่งเดิมเค้าก็เป็นสุนัข ตัวใหญ่นี่แหละ แต่ถูกพัฒนาพันธุ์จนได้สุนัขตัวจิ๋ว ที่น่ารักน่าเอ็นดู สุนัขประเภทนี้เหมาะสำหรับ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อน แก้เหงา มันมีบทบาทมาก กับคนที่อยู่คนเดียว เช่น คนชราที่ถูกทอดทิ้ง คนป่วย รวมไปถึงเด็กๆ ด้วย
• อดีตสุนัขไฮโซ สุนัขตุ๊กตาถือถือกำเนิดขึ้นมาตั้งหลายพันปีแล้ว โดยเมื่อ 4,000 ปีก่อน เราพบสุนัขสิงโต (Lion Dogs) ที่หน้าตาคล้ายๆ กับ สุนัขปักกิ่งในจีน และ พบ Lap dogs ที่โด่งดังมากในกลุ่ม คนโรมันในสมัยก่อนนั้น สุนัขตุ๊กตาเป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้หญิง และเด็กๆ ในสังคมชั้นสูง เช่น ราชินีแมรี่ แห่งสก็อตแลนด์ ราชินีวิคตอเรีย พระ นางมารี อังตัวเนต และ มาดามปอมปาดัว แห่งฝรั่งเศส หรือ แม้แต่จักรพรรดินีของ จีน และ ลามะแห่งธิเบต ก็ล้วนแล้วแต่มี สุนัขคู่ใจเป็นสุนัขตัวเล็กๆ นี้กันทั้งนั้น
แม้ว่าสุนัขตุ๊กตาจะตัวเล็ก ดูไม่มีพิษมีภัย แต่มันก็ยังมีสัญชาติญาณของสุนัขอยู่ครบถ้วน มันพร้อมที่จะปกป้องเจ้านาย และ บ้านที่มันอาศัยอยู่ โดยการเห่าเสียงดังๆ หรือ ร้องหงิงๆ เตือนเมื่อมีผู้บุกรุก และบางตัวอาจถึงขั้นจู่โจมผู้บุกรุกเลย โดยไม่สนว่าผู้บุกรุก จะตัวขนาดไหน6. สุนัข อเนกประสงค์ (Non Sporting) เป็นสุนัขนานาประโยชน์ตามแต่เจ้าของจะใช้งาน บางท่านก็ว่า มันก็คือสุนัขที่ ไม่สามารถจัดเข้าในพวกใดพวกหนึ่ง ฟังดูแล้วดูไม่มี ค่า แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่หรอก เพราะสุนัขพวกนี้หลายๆ พันธุ์ก็โด่งดังทะลุฟ้าเชียว เช่น สุนัขลายจุด (ดัลเมเชี่ยน) ขวัญใจเด็กๆ ไง
• ประโยชน์ใช้สอยที่ไม่ธรรมดา เช่น สุนัข Lhasa Apso เป็นสุนัขที่ลามะในธิเบตเลี้ยงไว้เพื่อระวังภัย และยังถือว่าเป็นสัญญลักษณ์แห่งโชคลาภอีกด้วย สำหรับสุนัขพันธุ์ เชาเชา ซึ่งถือกำเนิดในมองโกเลียเมื่อ 3,000 ปีก่อน แรกเริ่มเดิมที ก็เป็นสุนัขที่ถูกใช้ในสงครามอยู่ดีๆ แต่ต่อมากลับถูกชาวจีนฆ่าเป็นอาหาร และนำเอาขนสัตว์ไปทำเครื่องนุ่ง ห่มเสียนี่ ช่างน่าอาภัพนัก ว่ากันว่า ในปัจจุบันนี้ชาวเกาหลี ส่วนหนึ่งยังนิยมกินเนื้อสุนัขเชาเชา และ พูเดิ้ลสีแดง อยู่ โดยถือว่าเป็นอาหารอันโอชะชั้นเหลาทีเดียว

มารุ้จักมนุษ์หิมะ-เยติกัน..^^

มนุยษ์หิมะ-เยติ

มนุษย์หิมะ - เยติ (The Abominable Snowman) อโบมิเนเบิ้ล สโนว์แมน หรือ ที่ชาวเซอร์ปาร์เรียกว่า เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาวภูเขา มันเข้าไปพัวพันอยู่ในความเพ้อฝัน ศาสนา ตำนาน เล่ห์ลวง และ การค้า คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้ และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยบันทึกภาพไว้ และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยนักบุกเบิกในปลายยุค 1950 และ 1960 แต่ตอนนี้หลักฐานการดำรงอยู่ของมันดูเหมือนจะหนักแน่นขึ้นทุกวัน
นักเดินทางคนหนึ่งที่จะไปยังกาฎมันฑุ ต้องเข้าไปพัวพันอยู่ในธุรกิจของเยติก่อนที่เขาจะไปถึงเนปาลเสียอีก สายการบินแห่งชาติเนปาลบินเฉียดไปบนเขตภูเขาที่ต่ำที่สุด ผ่านหมู่บ้านที่ตั้งกันอยู่อย่างเปะปะบนยอดเขา จากนั้นในทันทีทันใดแนวของยอดสูงสุดของเทือดเขาหิมาลัยก็ปรากฎแก่สายตาเป็นสีขาวหยัก ส่วนที่เหลือถูกกันออกไปโดยเมฆ อันเป็นแซงกรีลา หรือ แดนสุขาวดี หมู่บ้านลึกลับ ชนเผ่าที่ไม่มีใครรู้จัก เยติ ทั้งหมด ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ในช่องที่ติดอยู่กับที่นั่งในเครื่องบิน มีเมนูสำหรับสายการบินเยติแอร์ไลน์ และโรงแรมใหม่ที่คุณจะได้เข้าพักสร้างโดยเวิร์ลด์แบงค์ มีชื่อว่า แยกแอนด์เยติ (YAK AND YETI , YAK หมายถึง จามรี) เยติเป็นตำนานที่มีค่าทางพาณิชย์มาก บางทียังอาจเป็นรายได้หลักของ
ประเทศเนปาลที่ได้จากชาวต่างชาติ
เรื่องราวของเยติซึ่งเป็นอสูรกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เป็นตำนานในหมู่ของชาวเนปาล โดยเฉพาะชาวเชอร์ปาผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ณ วัดแห่งหนึ่งในร่มเงาของเทือกเขา เอเวอร์เรส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่า มักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวันอยู่เสมอในแต่ละปี คำบรรยายที่มีสีสันของการโจมตีโดยเยติถูกรายงานไปยังกาฎมันฑุ เด็กหญิงชาวเชอร์ปาผู้หนึ่งชื่อว่า ลาคห์หาโดมานิ ได้บอกเล่าเหตุการณ์หนึ่งให้กับ วิเลียม เวบเบอร์ ซึ่งเป็นอาสาสมัครของพชคอร์พส์ ที่ทำงานในหมู่บ้านมาชเชอร์มา ในแถบเอเวอร์เรส เด็กหญิงกล่าวว่า เธอนั่งอยู่ที่ริมลำธารเพื่อดูฝูงจามรีของเธอ ตอนที่เธอได้ยินเสียงหนึ่ง และได้หันไปเผชิญหน้ากับ สิ่งมีชีวิตที่คล้ายลิงตัวใหญ่ มันมีดวงตาที่ใหญ่โตและกระดูกโหนกแก้มนูนขึ้นมา ตัวของมันปกคลุมด้วยขนสีดำและน้ำตาลแดง มันตรงเข้าคว้าตัวเธอ และแยกเธอไปยังลำธาร แต่ดูเหมือนเสียงกรีดร้องของเธอจะทำให้สัตว์ตัวนั้นตกใจจนปล่อยเธอลง จากนั้นมันก็เข้าโจมตีจามรีสองตัวของเธอ มันฆ่าตัวหนึ่งโดยการทุบ และอีกตัวโดยการจับเขามันและบิดคอ เหตุการณ์นี้ได้ถูกรายงานไปยังตำรวจของท้องถิ่น และตรวจพบรอยเท้าของมัน เวบเบอร์กล่าวว่า "เธอจะหลอกเราไปเพื่อเหตุใดกันล่ะ ข้อสรุปของผมคือว่าเด็กคนนั้นพูดจริง"
หลักฐานของเยติแบ่งออกเป็นสามประเภทใหญ่ๆ คือ รอยเท้า , ผู้ที่พบเห็นตัวมัน และหลักฐานทางกายภาพ เช่น กะโหลก และหนังของมัน
รอยเท้า เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความสนใจอย่างมาก มีการรายงานถึงรอยเท้าของมันโดยชาวตะวันตกตั้งแต่ปี 1887 และจากนั้นโดยเจ้าหน้าที่ของกองทัพอังกฤษผู้หนึ่ง บนเทือกเขาเอเวอร์เรสท์ที่ระดับความสูง 6,400 เมตร ในปี 1921 มันเป็นรูปถ่ายรอยเท้าที่น่าสนใจ เอฟ เอส สมิธธี เป็นคนแรกที่ถ่ายภาพไว้ที่ความสูง 5,029 เมตร ในปี 1937 ภาพถ่ายของ อีริค ชิพตั้น ที่ถ่ายโดยมีขวานขุดหิมะวางไว้ข้างๆ เพื่อเทียบสัดส่วน เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาอย่างจริงจัง ในปี 1978 แม็คนีลลี่ และดครนิน นักสำรวจชาวอเมริกันพบรอยที่ชัดเจนและลึกพอที่จะหล่อปูนปลาสเตอร์ได้ ในปีถัดมา ลอร์ดฮันท์ ได้พบรอยเท้าและรูปที่ได้เขาถ่ายมาในปี 1978 ได้แสดงให้เห็นถึงรอยเท้าที่มีขนาดใหญ่โต ยาว 35.6 เซนติเมตร และกว้า 17.7 เซนติเมตร
ในการบรรยายที่ รอยัล จีโอกราฟฟิค โซไซเอตี้ ในกรุงลอนดอน ลอร์ดฮันท์ ได้กล่าวว่า "พวกเราอยู่ด้านข้างของหุบเขาตอนล่างของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์ มันเป็นตอนหัวค่ำและเริ่มจะมืด ผม และภรรยาได้เดินมาพบรอยเท้า พวกมันยังใหม่อยู่ และผมบอกได้เลยว่ามันเกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน มีหิมะที่ลึกบนทางที่ค่อนข้างชัน และสิ่งมีชีวิตนั้นหนักเอาการทีเดียว เพราะมันกดทับหิมะลงไปเป็นผิวที่แข็ง จนพวกเราเดินไปบนนั้นได้โดยไม่สร้างร่องรอยใดๆ เลย รอยเท้าเป็นรูปไข่ขนาดใหญ่ ผมวางขวานขุดน้ำแข็งลง -ข้างๆ เพื่อวัดได้ความยาว 35 เซนติเมตร และ กว้างประมาณครึ่งหนึ่งของความยาว" ลอร์ด ฮันท์ ผู้ที่ได้เห็นรอยเท้าของมันหลายครั้งหลายหน ในช่วงประมาณ 30 ปี และได้ยินสิ่งที่เรียกว่า "เสียงกู่ร้องโหยหวน" "เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใดได้นอกจากว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฎหลักฐานที่ยังต้องทำการค้นหากันต่อไป"
ศัลยแพทย์นักไต่เขาชาวอังกฤษ ไมเคิล วาร์ด อยู่กับ อีริค ชิพตั้น ในปี 1951 เมื่อเขาได้ทำการบันทึกภาพรอยเท้าไว้ "พวกเราอยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาเอเวอร์เรสต์" - เขาบอก "และเราข้ามเขตภูเขากว้างใหญ่ในระดับความสูงประมาณ 5,791-6,961 (19,000-20,000 ฟุต) และเข้าไปในเขตที่เรียกว่า "ช่องว่าง" บนแผนที่อันเป็นที่ที่แผนที่ปรากฎเป็นสีขาวสะอาดและไม่มีลักษณะภูมิประเทศอยู่เลย" บนธารน้ำแข็งสายหนึ่งมีร่องรอยของแพะภูเขาเดินข้าม ในทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยอื่นอีก
"เป็นรอยที่ชัดเจนและมีความแตกต่างอย่างมาก เราสามารถเห็นนิ้วโป้งของทุกรอยได้ รอยนั้นตรงไปตามธารน้ำแข็งไกลหลายไมล์จนมองไม่เห็น ความรู้สึกของผมบอกว่ารอยพวกนี้ อาจเกิดขึ้นในตอนกลางคืนหรือรุ่งเช้าของวันนั้นเอง เพราะไม่มีรอยเลอะเลือนที่ขอบของมันเลย ในบางแห่งคุณจะเห็นได้เลยว่ามีรอยที่สัตว์ตัวนี้กระโดดข้ามช่องน้ำแข็งเล็กๆ โดยจะเห็นรอยนิ้วเท้าอย่างชัดเจน คุณจะเห็นได้ในรูปเหล่านี้ รอยเท้าจมลึกเกินกว่าที่คนอย่างเราจะทำได้ เราอาจจะตามรอยถ่ายภาพมันไปให้ไกลกว่านี้สักหน่อยถ้าเสบียงอาหารของเราไม่ร่อยหรอลง และพวกเราก็ยังมีเป้าหมายหลักที่จะเดินทางไปยังประเทศที่ไม่เคยมีใครเคยพบเห็นมาก่อนเลย ไม่เพียงแต่ชาวเชอร์ปาและชาวธิเบตที่ยังไม่เคยไป แต่รวมถึงชาวยุโรปด้วย"
ต่อจากนั้นทั้งชิพตั้นแลวาร์ด ก็หลงเข้าไปในเขตธิเบตและถูกจับกุมโดยทหารรักษาการณ์ของกองทัพธิเบต เพียงเพื่อเรียกค่าไถ่ในราคาคนละหนึ่งปอนด์เท่านั้น
ในมุมมองของคนช่างสงสัยก็ว่า รอยเท้านั่นเป็นของ สัตว์พันธุ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงจากภาวะแวดล้อมของดวงอาทิตย์ และหิมะ อาจจะเป็นหมีสีฟ้า (BLUE BEAR) - ของธิเบต ซึ่งโดยตัวของมันเองก็เป็นสัตว์ที่หายากแทบจะกลายเป็นตำนานไปแล้ว หรืออาจเป็นลิงแลงกูร์ (LANGUR MONKEY) ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ว่าอาศัยอยู่ที่ระดับความสูงดังที่กล่าวมา แม้แต่เสือดาวหิมะก็ยังถูกนำเข้ามาร่วมด้วย และจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนส่งไปยังนิตยสารของอังกฤษ COUNTRY LIFE ได้เสนอความเห็นว่ามันอาจเป็นนกอีกาปากแดง (ALPINE GHOUGH) ซึ่งจากที่เคยมีการเฝ้าดูมันได้ทิ้งรอยเท้าที่เหมือนกับมนุษย์หิมะเมื่อมันกระโดดขาเดียวไปบนหิมะ
อย่างไรก็ตามนักสัตววิทยา ดับเบิ้ลยู เซเนสกี้ จากมหาวิทยาลัยควีนแมรี่ลอนดอน ได้ทำการวิเคราะห์รอยเท้าที่ชิพตั้นพบอย่างละเอียด โดยการสร้างแบบจำลองขึ้นมาใหม่และเปรียบเทียบมันกับรอยเท้าของลิงกอริลล่า, มนุษย์ยุคหิน และมนุษย์ ไม่มีรอยใดที่มีนิ้วเท้าทั้งสองที่กว้างใหญ่ และมีกระดูกอุ้งเท้าที่สั้นผิดปกติเช่นนี้เลย เขาวินิจฉัยออกมา-ว่ารอยเหล่านั้นไม่มีส่วนใดที่คล้ายกับหมีหรือลิงแลงกูร์เลย "หลักฐานทั้งหมดแสดงออกมาว่า สิ่งที่เราเรียกกันว่า มนุษย์หิมะนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสองเท้า ที่มีโครงสร้างใหญ่และหนาทึบ เป็นไปได้มากกว่า เป็นชนิดเดียวกันกับซากฟอสซิสของ GIGANTOPITHECUS" ข้อวินิจฉัยเช่นนี้ทำให้เยติใกล้จะเป็น "ห่วงโซ่ที่หายไป" ดังที่นักวิท-ยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางคนกล้ายอมรับ
กับผู้คนที่เคยเห็นรอยเท้าของจริง ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีภูมิหลังที่ไม่เคยเชื่อเรื่องของเยติเลย กัปตัน เอมิล วิคค์ นักบินชาวสวิสที่ได้มาทำงานให้กับสายการบินแห่งชาติ เนปาล เขามีบ้านที่สวยงามที่ชานเมืองกาฎมันฑุ เขานั่งอยู่ในสวนของเขาในเย็นวันหนึ่งพร้อมทั้งเบียร์ขวดหนึ่ง ดวงตาของเขามองตรงไปข้างหน้าขณะเล่าเรื่องให้ฟัง
"พระเจ้า ผมบอกคุณได้เลยว่าผมไม่เคยมีความสนใจเลยสักนิดกับเจ้าเยติบ้าๆ นั่น เมื่อผมมาที่เนปาล ผมมาเพื่อขับเครื่องบินเล็กใกล้กับภูเขาให้กับนักท่องเที่ยว และก็เพื่อเป็นการหาความสนุกให้กับตัวเองเมื่อไม่ได้ทำงาน เหมือนกับที่ผมทำเมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ และอินโดนีเซียและที่อื่นๆ ดังนั้นในเช้าวันหนึ่งปีที่แล้วผมจึงขับเครื่องบินให้กับชาวญี่ปุ่นไปยังยอดเขาคองเชนจุนก้า แล้วผมก็ได้เห็นรอยเท้านี้ในระดับที่สูงมาก มีสามรอยแยกต่างหากกัน เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตสองขา มันมาจากคนละด้านของสันเขาที่สูงชัน จากนั้นพวกมันก็เดินไปด้วยกันและลงไปที่ทะเลสาปแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน บางทีพวกมันมาที่นี่เพื่อดื่มน้ำก็เป็นได้ ผมรู้ว่านั้นเป็นหิมะที่เพิ่งตกใหม่ และเป็นเเวลาไม่เกินเจ็ดโมงเช้า ดังนั้นแสงอาทิตย์จึงยังไม่อาจเล่นตลกกับผมได้ ผมบินวนมาดูถึงสามรอบ แล้วคุณต้องไม่เชื่อแน่ มีหญิงชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งนั่งข้างๆ ผมพร้อมด้วยกล้องถ่าย-รูป ผมก็เลยขอให้เธอช่วยถ่ายรูปเอาไว้ "แล้วผมจะให้คุณบินฟรี" ผมบอก แต่เธอกลับพูดว่า "เลิกบินวนเพื่อความสนุกของคุณซะทีเถอะ เราจ่ายให้คุณบินไปที่คองเชนจุนก้านะ-นั่งเป็นที่ที่เราต้องการจะถ่ายรูป"
บาทหลวง บอร์เดทท์ ชาวฝรั่งเศสจากสถาบันธรณีวิทยาของปารีสได้ตามรอยสามรอยเป็นจำนวนมากในการสำรวจปี 1955 จากนิตยสาร BULLETIN ของพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติ ณ กรุงปารีส เขาได้ให้การว่าเขาตามรอยรอยหนึ่งไปกว่าครึ่งไมล์ ในตอนนั้นรอยนั้นชัดเจนมาก เขาสามารถสังเกตเห็นรอยของแต่ละนิ้วได้ -เลย ณ จุดหนึ่งที่สิ่งมีชีวิตนี้กระโดดลงมาจากกำแพงหินเล็ก ๆ ที่สูง 1-1.5 ม. รอยเท้าของมันจมลึกลงไปในหิมะถึง 15 เซนติเมตร หรือมากกว่านั้น หลวงพ่อบอร์เดทท์มีภาพถ่ายที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว จากนักวิชาการสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมของฝรั่งเศสสองท่าน ซึ่งได้วินิจฉัยออกมาว่ารอยนั้นต้องเป็นของสัตว์ในสายพันธุ์ที่ยังไม่รู้จัก
เลสเตอร์ เดวิด นักปีนเขาจากประเทศอังกฤษก็เกิดความสนใจในความลึกของรอยเท้าที่เขาได้ทำการถ่ายภาพยนตร์ไว้ในปี 1955 จากการสำรวจเทือกเขาหิมาลัยของกองทัพอากาศแห่งสหราชอาณาจักร
"มันจมลึกลงไปราวๆ 12.7-15.24 เซนติเมตร ด้วยกล้องถ่ายหนังและเป้หลัง ตัวผมก็มีน้ำหนักประมาณ 80 กก. ก็ยังสามารถทำรอยเท้าจมลึกลงไปแค่ 2.5 - 3 เซนติเมตรเท่านั้นเอง ผมคิดว่าเจ้าตัวนั้นต้องมีขนาดใหญ่โตมาก"
มีหลายคนซึ่งเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ บอกว่าพวกเขาเคยเห็นสิ่งมีชีวิตนั้นจริงๆ ดอน วิลเลี่ยม เป็นเจ้าของกิจการเกสท์เฮ้าส์ที่มีชื่อว่า เวลซ์ เขาเป็นคนที่เข้มงวดและก็จริงจัง ทั้งยังเป็นวีรบุรุษที่มีใจสู้ในการปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ และคองเชนจุนก้า เขาอยู่ในแอนนาปุระในเดือนมิถุนายน ปี 1970
เราอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แอนนาปุระ อย่างที่เขาเรียกกัน ซึ่งเป็นระฆังใบหนึ่งบนเขาที่สูงมาก และผมก็รู้สึกกังวลในการหาที่พักแรมที่เหมาะสมในตอนกลางคืน และตอนที่เราเดินไปช้าๆ รอบปากหุบเขา ผมได้ยินเสียงอะไรอย่างหนึ่งที่เหมือนเสียงนกร้องมาจากข้างหลัง ผมมองไปที่ชาวเชอร์ปาแล้วเขาก็บอกว่า "เยติมาครับนาย" ดังนั้นผมจึงมองไปรอบๆ แล้วมองขึ้นไปบนภูเขา ผมเห็นอีกาสีดำสองตัวกำลังบินจากไป และได้เห็นเงาร่างสีดำร่างหนึ่งบนสันเขา ความคิดแรกของผมคือ "ทำไงดีล่ะ หยิบเอาขวานขุดหิมะออก-มาหรือไง " อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ปรากฎขึ้นมาอีก ดังนั้นผมจึงนบอกว่า "ไปหาที่ตั้งแคมป์กันเถอะ" วันต่อมา เราเดินขึ้นหุบเขต่อเพื่อทำการสำรวจวัดอย่างคร่าวๆ ทางด้านใต้ให้เสร็จ และผมก็เห็นรอยที่สิ่งมีชีวิตตัวนั้นทิ้งไว้อย่างชัดเจนในคืนก่อน รอยเท้าพวกนี้ลึกลงไปถึง 45 เซนติเมตร หิมะอ่อนนุ่มมาก และกะอยู่คร่าว ๆ ว่ารอยเท้าเหล่านั้นจะมีขนาดเดียวกับเท้าของผม ซึ่งสอดคล้องกันกับสิ่งที่ชาวเชอร์ปาบอกว่ามันเป็นลูกของเยติ ผมคาดว่าพวกเยติถ้ามีอยู่จริงก็คงมีหลายขนาดเหมือนกับมนุษย์นะแหละ หลังจากนั้น-ในตอนเย็น มันเป็นค่ำคืนที่มีแสงจันทร์สว่างมาก ด้วยเหตุผลบางอย่างผมเกิดมีความรู้สึกที่รุนแรงมากกว่าเจ้าสัตว์ตัวนั้นยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ นี้แน่ ดังนั้นผมจึงโผล่หัวของ-ผมออกไปนอกเต้นท์ แสงจันทร์สว่างมากจนผมสามารถอ่านหนังสือได้ ผมได้เฝ้าดูอยู่ประมาณสิบห้านาที และเพิ่งจะมีความคิดว่า "เฮ้อ! ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรมันคงไปแล้วล่ะ" แล้วผมก็มองเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ถ้าคุณปีนเขามามากๆ แล้วคุณมักจะชินกับการมองไปที่ภูเขาและมองเห็นภาพที่เล็กมากและเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เล็กๆ ได้ เจ้าตัวที่ผมเห็นนี้มีการเคลื่อนไหวที่คล้ายลิงท่าทางการเดินที่ตลก ไปที่สิ่งหนึ่ง ซึ่งในหลายสัปดาห์ต่อมาเมื่อหิมะละลายจึงได้เห็นว่า มันคือพุ่มไม้ มันกำลังดึงกิ่งไม้บางกิ่ง ยังไงก็เถอะผมก็ได้เฝ้ามองดูมันเกือบยี่สิบนาที ผมเอากล้องส่องทางไกลมาใช้ดูและทั้งหมดที่ผมสามารถมองเห็นได้ก็คือรูปร่างที่คล้ายลิงสีดำ จากนั้นในทันทีทันใดเหมือนกับว่ามันรู้ว่ามีใครกำลังจ้องมองมันอยู่ มันจึงวิ่งผ่านเหลี่อมเขาไป มันคงต้องเดินทางไปราวๆ ครึ่งไมล์ก่อนที่จะหายไปในเงามืดของหินบางก้อน สิ่งประหลาดสำหรับผมก๋คือท่าทางของชาวเชอร์ปา ถ้ามันเป็นหมีซึ่งเป็นสัตว์ที่พวกเขาคุ้นเคย เขาก็น่าที่จะบอกว่า "อ๋อ นั่นเป็นบาร์ลูครับ" ซึ่งเป็นชื่อที่พวกเขาใช้เรียกมัน และมันก็จะจบลงแค่นั้น แต่พวกเขาก็ต้องข่มความกลัวเอาไว้ถึงสองวัน แล้วถ้าผมลองเอ่ยหรือมองดูรอยเท้าผ่านกล้องส่องทางไกล ตลอดวันนั้นผมก็จะได้ยินพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันปากต่อปากแน่
ในปี 1975 นักไต่เขาชาวโปแลนด์ จานุสซ์ โทมาซัค ก็ได้พบกับความตะหนกเมื่อเขาขึ้นไปไต่เขาในเทือกเขาเอเวอร์เรสท์ และเกิดหัวเข่าเคล็ดขณะที่เขาเดินอย่างยากลำ-บากกลับไปยังที่พักบริเวณนั้น เขามองเห็นเงาร่างหนึ่งใกล้เขามาเขาจึงตะโกนของความช่วยเหลือ ร่างนั้นจึงเดินเข้ามาตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่า "คน" ที่เขาเพิ่งจะร้องขอความช่วยเหลือนั้นเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างคล้ายลิง มีความสูงมากกว่า 1.8 เมตร มีแขนยาวจนถึงหัวเข่า เสียงแหกปากร้องของเข้าได้ขับไล่มันจากไป
เรื่องราวเช่นนี้เป็นเรื่องราวธรรมดาของชาวเชอร์ปา ในปี 1978 มีรายงานการรับความจากเยติมากมาย โดยเฉพาะในเขตสิกขิม ซึ่งทางกรมป่าไม้ต้องส่งชุดปฏิบัติการณ์ออกสำรวจและไล่ล่าแต่ก็ปราศจากผล ความพยายามอย่างจริงจังที่สุดในการไขปริศนาของเยติ ได้รับการสนับสนุนจาก WORLD BOOK ENCYCLOPEDIA ของอเม-ริกา ได้ทำการสำรวจในปี 1960 นำทีมโดย เดสมอนด์ ดัวก์ และ เซอร์เอ็ดมัน ฮิลลารี่ ซึ่งเป็นชายคนแรก (โดยร่วมทางไปกับชาวเชอร์ปา ชื่อเทียนซิงก์) ที่ได้ขึ้นไปยืนอยู่บนยอดของเขาเอเวอร์เรสท์ พวกเขาอยู่ที่นั้นเป็นเวลาสิบเดือน ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บอย่างทารุณ ในบริเวณที่มีการรายงานมาจากนักล่าเยติมากที่สุด การสำรวจเต็มไปด้วยอุป-กรณ์ต่างๆ เช่น กล้องถ่ายหนังเคลื่อนที่ , TIMELAPSE (การถ่ายภาพหมุนช้าและฉายในอัตราปกติ เช่นที่เราจะเห็นภาพดอกไม้ที่บานอย่างรวดเร็ว) และกล้องอินฟราเรด ได้เกิดความตื่นเต้นไปทั่ว เมื่อฮิลลารี่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ชาวบ้านของหมู่บ้านคัมจุงกิ์ (KHUMJUNG) ให้เขายืมหนังหัวของเยติที่เป็นเสมือนตำนานไปเป็นเวลาหกสัปดาห์ ก็เพื่อไปทำการทดลองทางวิทยาศาสต์ หนังหัวนี้พร้อมทั้งของอย่างอื่นอีกสองอย่างและหนังอีกสองชิ้น (ซึ่งต่อมาได้ถูกบ่งชี้ว่ามันเป็นหนังของหมีบูลแบร์ตัวหนึ่ง) ถือว่าเป็นซากที่หลงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของเยติ
ฮิลลารี่และดัวก์ได้เดินทางออกไปในฤดูใบไม้ผลิพร้อมด้วยผู้ดูแลของหนังหัวนี้คือ คุนโจ้ ชุมบิ ในการเดินทางรอบโลกไปยัง ฮอนโนลูลู , ชิคาโก, ปารีส และแม้แต่พระราชวังบักกิ้งแฮม ในทุกๆ ที่ที่พวกเขาหยุดพัก ชุมปิได้เลียนเสียงร้องของเยติเป็นเสียงแหลมโหยหวนให้กับสถานีโทรทัศน์ ขณะเดียวกันนั้นก็ได้ระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญในการทด -สอบหนังหัวนี้ เหมือนกับ ฟีเนียส ฟอกก์ส์ ฮิลลารี่ และดัวก์ ต้องกลับไปยังคัมจุงก์ภายในเวลา 42 วัน มิฉะนั้นตามข้อตกลง ที่ดินและทรัพย์สินของชาวเชอร์ปาของเขาจะต้องถูกยึด พวกเขามาถึงในวันสุดท้ายโดยโดยร่มลงมาจากเฮลิคอปเตอร์พร้อมด้วยหนังหัวที่ถูกรักษาไว้ในกล่องของมัน น่าเสียดายที่มีการตรวจสอบพบว่ามันทำขึ้นมากจากแพะชีโรว์ (SEROW) การสำรวจด้วยกล้องและที่หลบซ่อนไม่มีโชคเลย ฮิลลารี่และดัวก์ ได้ปล่อยให้เยติกลายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเทพนิยายและตำนานต่อไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เปิดเผยว่าหนังหัวเป็นของปลอม และทุ่มเทเวลาเกือบปีในการพิสูจน์มันเท่าที่ประสบการณ์ และเทคนิคจะอำนวย
ทุกวันนี้ในบ้านที่ปูพรมอย่างสวยงามซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับสถานทูตในกาฎมันฑุ เดสมอน ดัวก์ ยังคงสงสัยอยู่อย่างไม่เลิกราถึงการสำรวจในปี 1960 และเขาก็เปลี่ยนความคิดของเขาแล้ว ในตอนนี้เขาเชื่อว่าเยติยังมีอยู่จริง "แม้ว่าเราอาจจะไม่เคยเห็นเยติก็ตาม" เขากล่าว "เราไม่เคยเห็นเสือดาวหิมะเลยไม่ใช่หรือแต่เราก็รู้ว่ามันมีอยู่จริง การสำรวจในครั้งนั้นใหญ่โตเทอะทะมากเกินไป อีกอย่างในช่วงหลายปีต่อมาผมคิดว่าผมไขปริศนาของหนังหัวได้นะ" เขาได้ชี้ข้ามห้องไปยังสิ่งที่เป็นของจำลองที่สมบูรณ์แบบของหนังหัวจากคัมจุงก์ "ผมเดินทางไปยังสิ่งที่เป็นของจำลองที่สมบูรณ์แบบของหนังหัวกำลังสวมสิ่งนี้อยู่ ไม่มีอะไรมาก ปรากฎว่ามันเป็นสิ่งที่พวกเขาทำมันขึ้นได้ปราณีตมาก และก็-สวมมันแทนหมวก" ดังนั้นหนังหัวจึงกลายเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ แต่แม้ว่ามันจะเป็นของปลอม นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเยติไม่ได้มีอยู่จริง
ดัวก์ ผู้ที่ได้ใช้เวลาถึงสามสิบปีในเทือกเขาหิมาลัย และสามารถพูดภาษาของท้องถิ่นได้หลายภาษา ได้บอกว่าชาวเชอร์ปานั้นมีคำที่พูดถึงเยติได้สามอย่างต่างกัน นั่นคือ ดซูท์เทห์ (DZUTEH) ซึ่งมีขนาดใหญ่ มีขนหยาบกระด้างไม่เป็นระเบียบ และมักจะมาโจมตีสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านเขาเกือบจะแน่ใจว่ามันคือหมีบลูแบร์ของธิเบต ซึ่งไม่เคยมีชาวตะวันตกคนใดเคยได้เห็นมัน แม้ว่าหนังของมันถูกพบครั้งแรกระหว่างทางไปยังเอเชียติก โซไซเอตี้ ในกรุงลอนดอนในปี 1853 สำหรับทุกวันนี้ หลักฐานการมีอยู่ของมันเท่าที่เราได้รู้ก็คือหนังของมันจำนวนครึ่งโหล กะโหลกหนึ่งใบ และกระดูกบางชิ้น "ครั้งหนึ่งผมเคยพบสุภาพสตรีชาวธิเบตผู้หนึ่ง เธอบอกแก่ผมว่า มีหมีบลูแบร์ตัวหนึ่งใน-สวนสัตว์ของพันเชนลามะ ในชิเกต ธิเบต" ดัวก์กล่าวตัว "เธอบอกว่ามันเดินด้วยขาสองขาและตัวใหญ่เท่ากับผู้ชายสูงๆ คนหนึ่ง และมีหน้าตาที่คล้ายกับลิงหรือหมี" โชคร้าย-ที่สวนสัตว์ทั้งหมดถูกกวาดล้างไปหมดด้วยน้ำท่วม
เธลม่า (TEHLMA) แปลว่า "ชายตัวเล็ก" ซึ่งวิ่งไปพลางร้องไปพลาง และชอบสะสมกิ่งไม้ ดัวก์กล่าว "ผมไม่คิดว่ามีปัญหากับเรื่องนี้ ผมคิดว่ามันเป็นลิงกิบบอน (GIB- BON) แม้ว่านักสัตวศาสตร์ความเป็นอยู่ของสัตว์จะบอกว่าเราไม่อาจพบมันได้ทางตอนเหนือของแม่น้ำบรามาปูทระ ในอินเดียก็ตาม
มนุษย์หิมะ ที่แท้จริงตำนานโดยคำกล่าวอ้างของดัวก์มันเรียกว่า มิห์เทห์ (MITH TEH) มันป่าเถื่อน และลักษณะคล้ายลิง กินเหมือนมนุษย์ ปกคลุมไปด้วยขนสีดำแดง มีความคลาสสิคอยู่ที่ "นิ้วเท้าที่กลับหัวกลับหางกัน" และออกหากินในระดับความสูง 6,096 เมตร หรืออาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ
ในปี 1961 เราได้ปล่อยให้ มิห์เทห์กลายเป็นเพียงเทพนิยาย แต่ตอนนี้ผมคิดว่าเราเข้าใจผิดนะ ผมมักจะแสดงให้ชาวเชอร์ปาผู้ที่อ้างว่าเคยเห็นมิห์เทห์ ว่ามันเป็นหมีชนิดหนึ่ง หรือมนุษย์ที่มีความแตกต่างกันออกไป ผมวาดรูปของมนุษย์ยุคนีแอนเดอร์ธาลล์และ GIGANTOPITHECUS , กอลริล่า , ชิมแปนซี , ลิงกิบบอน และอุรังอุตัง แม้ว่า-พวกเขาจะไม่มีความรู้ และไม่ว่าลิงใหญ่นั้นจะเป็นอะไรก็ตาม พวกเขาก็มักจะชี้ลิงตัวหนึ่งซึ่งมักจะเป็นลิงอุรังอุตังอยู่เสมอ เรารู้จากฟอสซิลว่าครั้งหนึ่ง เขามีอุรังอุตังอาศัยอยู่-ทางตอนเหนือของอินเดีย ใครจะรู้ได้ล่ะในเมื่อยังมีป่าทึบซึ่งสามารถซ่อนเผ่าพันธ์ทั้งหมดของเยติเอาไว้ได้ บางทีการเดินทางไกลที่ยากลำบากไปบนเขาสูงชัน คงเป็นอย่างที่ -บาทหลวง เบอร์เดทท์ ได้ให้ข้อคิดเห็นเอาไว้ว่า เพื่อหาน้ำ ซึ่งแหล่งน้ำของมันคงจะแห้งแล้งในเขตล่างของป่า
เรื่องเล่าอื่นๆ ของเยติในหมู่ชาวเชอร์ปา การพบเห็นโดยชาวตะวันตก และเหนือสิ่งอื่นใดรอยเท้าที่ขณะนี้มีการบันทึกเอาไว้มากกว่า 20 รอย รวมทั้งภาพที่ได้นำกลับมาในคริสมาสต์ปี 1979 จากการสำรวจของกองทัพอากาศรักษาพระองค์ พวกชาวสงสัยได้ตั้งคำถามว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะหาอาหารจากที่ไหนในสถานที่เช่นนั้น ผู้ที่เชื่อถือบอกว่า ก็มีแมวภูเขา (LYNX), หมาป่าขนยาว(WOOLY WOLF), แพะภูเขา (IBEX) และจามรี ยังหากินอยู่ในที่ที่สูงเกินกว่า 5,486 เมตร ได้เลยนี่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีใครให้คำอธิบายที่น่าพอใจกับภาพถ่ายเช่นของ ชิพตั้มและลอร์ด ฮันต์ ซึ่งดูเหมือนจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารอยเท้าของสัตว์ตัวนั้นจะต้องหนักกว่ามนุษย์มาก มันสามารถจะเดินเป็นระยะทางไกลด้วยขาสองขา และทิ้งรอยเท้าที่ไม่เหมือนสัตว์ชนิดอื่นที่เรารู้จักกันเลย