วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

มารยาทในการกล่าวขอบคุณ(Thank you)



1. ควรกล่าวขอบคุณทุกครั้งที่ผู้อื่นถามทุกข์สุขของเรา คนในครอบครัว หรือญาติพี่น้อง

2. ควรกล่าวขอบคุณเมื่อรับสิ่งของจากผู้อื่น

3. ควรกล่าวขอบคุณเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น เช่น เขาช่วยเปิดประตูให้เรา บอกเวลาให้เราทราบ บอกทางให้เรา ให้ของเรายืม อนุญาตให้เราทำสิ่งที่เราต้องการ

เมื่อมีคนกล่าวขอบคุณเรา เราอาจจะยิ้มเฉยๆ หรืออาจจะตอบด้วยสำนวนต่อไปนี้

  • You're welcome.
  • You're quite welcome.
  • Don't mention it.
  • Not at all.

วันมาฆบูชา



วันมาฆบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ


1. พระสงฆ์สาวกที่มาประชุมพร้อมกันทั้ง 1,250 รูปนั้นได้มาประชุมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย


2. พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดต่างล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง

3.พระสงฆ์ทั้งหมดที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6

4. และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์

กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในวันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมทำบุญตักบาตรในตอนเช้า และตลอดวันจะมีการบำเพ็ญบุญกุศลความดีอื่น ๆ เช่น ไปวัดรับศีล งดเว้นการทำบาปทั้งปวง ถวายสังฆทาน ให้อิสระทาน (ปล่อยนกปล่อยปลา) ฟังพระธรรมเทศนา และไปเวียนเทียนรอบโบสถ์ในเวลาเย็น

โดยก่อนทำการเวียนเทียนพุทธศาสนิกชนควรร่วมกันกล่าวคำสวดมนต์และคำบูชาในวันมาฆบูชา โดยปกติตามวัดต่าง ๆ จะจัดให้มีการทำวัตรสวดมนต์ก่อนทำการเวียนเทียน ซึ่งส่วนใหญ่นิยมทำการเวียนเทียนอย่างเป็นทางการ (โดยมีพระภิกษุสงฆ์นำเวียนเทียน) ในเวลาประมาณ 20 นาฬิกา โดยบทสวดมนต์ที่พระสงฆ์นิยมสวดในวันมาฆบูชาก่อนทำการเวียนเทียนนิยมสวด (ทั้งบาลีและคำแปล) ตามลำดับดังนี้

บทบูชาพระรัตนตรัย (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อรหัง สัมมา ฯลฯ)


บทนมัสการนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า (นะโม ฯลฯ ๓ จบ)


บทสรรเสริญพระพุทธคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อิติปิโส ฯลฯ)


บทสรรเสริญพระพุทธคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:องค์ใดพระสัมพุทธ ฯลฯ)


บทสรรเสริญพระธรรมคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:สวากขาโต ฯลฯ)


บทสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:ธรรมมะคือ คุณากร ฯลฯ)


บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:สุปฏิปันโน ฯลฯ)


บทสรรเสริญพระสังฆคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:สงฆ์ใดสาวกศาสดา ฯลฯ)


บทสวดบูชาเนื่องในวันมาฆบูชา (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อัชชายัง ฯลฯ)

จากนั้นจุดธูปเทียนและถือดอกไม้เป็นเครื่องสักการะบูชาในมือ แล้วเดินเวียนรอบปูชนียสถาน 3 รอบ โดยขณะที่เดินนั้นพึงตั้งจิตให้สงบ พร้อมสวดระลึกถึงพระพุทธคุณ ด้วยการสวดบทอิติปิโส (รอบที่หนึ่ง) ระลึกถึงพระธรรมคุณ ด้วยการสวดสวากขาโต (รอบที่สอง) และระลึกถึงพระสังฆคุณ ด้วยการสวดสุปะฏิปันโน (รอบที่สาม) จนกว่าจะเวียนจบ 3 รอบ จากนั้นนำธูปเทียนดอกไม้ไปบูชาตามปูชนียสถานจึงเป็นอันเสร็จพิธี

ยาตีกันอันตราย (หมอชาวบ้าน)

  ยาตีกันอันตราย (หมอชาวบ้าน)
โดย ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ


ยาตีกัน คืออะไร ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?

การใช้ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตตินกับยาอีริโทรไมซินอาจพาลให้ไตวายได้

ตัวอย่างที่ 1 แค่คุมกำเนิดไม่ได้ผล ทำให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่คาดฝัน และต้องเลี้ยงดูบุตรไปจนโต แต่ตัวอย่างที่ 2 ของยาตีกันนี้ ทำให้เกิดโรคไตวายได้ เรียกว่าเกิดอันตรายกับตัวผู้ใช้ยา และรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ เพราะโรคไตวายนี้มีอาจารย์แพทย์บางท่านจะผวนคำว่า "ตายไว" และนิยมพูดกันเล่นๆ ว่า "ไตวาย ทำให้ตายไว"

ยาตีกันดังตัวอย่างที่ 2 นี้ก็เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากอีกชนิดหนึ่ง คือ ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (statins) ซึ่งเป็นยาที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ
ตัวอย่างยากลุ่มนี้ เช่น ซิมวาสแตติน (simvastatin) อะโทรวาสแตติน (atrovastatin) โลวาสแตติน (lovastatin) เป็นต้น จะสังเกตได้ว่า ชื่อยากลุ่มนี้จะลงท้ายว่า "สแตติน" ทุกตัว จึงเรียกกันติดปากว่า กลุ่มสแตติน

ยากลุ่มสแตตินนี้นิยมจ่ายให้กับผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง และจะต้องใช้ยาติดต่อกันอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นประจำ เพื่อควบคุมลดปริมาณคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับที่เป็นปกติ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ทำให้ยอดจำหน่ายยากลุ่มนี้ติดอันดับหนึ่งสูงกว่ายากลุ่มอื่น ๆ ติดต่อกันหลายปีทีเดียว

แต่เมื่อไหร่ที่มีการใช้ยาอีริโทรไมซิน (erythromycin) ร่วมกับยากลุ่มสแตติน ยาอีริโทรไมซินซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะอีกชนิดหนึ่งที่นิยมใช้ในผู้ที่แพ้ยาเพนิซิลลิน เมื่อยากลุ่มสแตตินมาพบกับยาอีริโทรไมซิน ก็จะทำให้เกิดปฏิกิริยาระหว่างกัน หรือเกิดยาตีกัน

กรณีนี้ ยาอีริโทรไมซินจะไปยับยั้งการทำลายยากลุ่มสแตติน ทำให้ปริมาณยาสแตตินไม่ถูกทำลายตามปกติ และคงอยู่ในร่างกายนานพร้อมทั้งมีปริมาณมากขึ้น และมีการสะสมตัวยากลุ่มสแตตินในเลือดมากขึ้น จนทำให้เกิดพิษ โดยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อลีบ และเป็นพิษต่อไตได้

ดังนั้น ตัวอย่างที่ 2 นี้เป็นตัวอย่างของยาตีกันที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทั้ง 2 ชนิดนี้ร่วมกันซึ่งแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการเปลี่ยนจากยาอีริโทรไมซินไปใช้ยาชนิดอื่นแทน หรืออาจจะเปลี่ยนไปใช้ยากลุ่มสแตตินอื่นที่ไม่เกิดผลต่อยาอีริโทรไมซิน เช่น ฟลูวาสแตติน (fluvastatin) พราวาสแตติน (pravastatin) เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ใช้ยากลุ่มสแตตินอยู่ก็จะต้องคอยสังเกตอาการผิดปกติของตนเองด้วย โดยเฉพาะอาการผิดปกติของกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นต้น



วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

ภัย ..... จากมือถือ ^^

หลายคนอาจจะบอกว่ายังไม่มีสัญญาณบ่งชัด ที่จะชี้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือจะก่อให้เกิดมะเร็งสมองหรือไม่ แต่ นักวิจัยในยุโรปเชื่อว่า หากใช้ เป็นประจำมากกว่า 10 ปีอาจจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งสมองได้

นักวิจัยในสวีเดนศึกษาพบว่า การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นระยะเวลานานจะเพิ่มโอกาสมีก้อนเนื้อ ร้ายในสมอง ด้านที่มักใช้รับโทรศัพท์บ่อยๆเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า และถ้าใช้โทรศัพท์วันละหนึ่งชั่วโมงเป็นเวลากว่า 10 ปี ก็เพียงพอที่จะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงขึ้นมาได้ งานวิจัยยังระบุว่ามาตรฐานนานาชาติที่คุ้มครองผู้ใช้โทรศัพท์จากรังสี ที่แผ่ออกมาก็ยังไม่ปลอดภัยพอและจำเป็นต้องมีการปรับปรุง
ไม่ควรให้เด็กๆใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะว่ากะโหลกของพวกเขายังบางอยู่ และระบบประสาทก็ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา ทำให้มันเปราะบางเป็นพิเศษ สำหรับผู้ใหญ่ก็ควรจะมีคำเตือนไว้ด้วยศาสตราจารย์ เลนนาร์ท ฮาร์เดลล์ หัวหน้าคณะนักวิจัยจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในโอเรโบร กล่าวต่อ นสพ.เดลิเมล์

ข้อสรุปดังกล่าวนั้นมีขึ้นหลังจากที่นักวิจัยตรวจสอบการใช้โทรศัพท์เป็นระยะเวลานาน เพราะว่าการเกิดมะเร็งนั้น ต้องใช้เวลานานกว่าทศวรรษ และหลังจากที่ได้วิเคราะห์การศึกษาเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือ 11 ชิ้นทั่วโลก ก็พบว่าเกือบทั้งหมดพบว่ามันเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในเซลล์เกี่ยวกับเยื่อโครงประสาท ที่ทำหน้าที่สนับสนุนและปกป้องเซลล์ประสาท รู้อย่างนี้ระวังไว้หน่อยก็ยังดี



มนุษย์ได้ใช้ดอกไม้เป็นสื่อในการแสดงความรักต่อกันมานานแล้ว เราคิดว่าดอกไม้เป็นสิ่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วดอกไม้ยังใช้สื่อความรักได้หลายรูปแบบ ทั้งยังไม่จำกัดอายุและเพศอีกด้วย
  • กุหลาบแดง (Red Rose) : จะใช้ในความหมายแทน ประโยคที่ว่า "ฉันรักเธอ"
  • กุหลาบขาว (White Rose) : กุหลาบขาวแทนความหมายแห่งความรักอันบริสุทธิ์
  • กุหลาบชมพู (Pink Rose) : มักถูกใช้แทนความรักแบบโรแมนติก และความเสน่หาต่อกัน
  • กุหลาบเหลือง (Yellow Rose) : สีเหลืองเป็นสีแห่งความสดใส แทนความรักแบบเพื่อน
โดยในการมอบดอกกุหลาบในวันวาเลนไทน์นั้นเชื่อกันว่า จำนวนดอกกุหลาบที่มอบแก่กันนั้น มีความหมายต่อความรักกันอีกด้วย โดยได้แก่
  • 1 ดอก หมายถึง ความรักแบบ รับแรกพบ
  • 2 ดอก หมายถึงการแสดงความยินดี
  • 3 ดอก แทนคำบอกรักว่า ฉันรักเธอ
  • 7 ดอก แทนคำพูดที่ว่า เธอทำให้ฉันหลงเสน่ห์
  • 9 ดอก แทนความหมายที่ว่า ทั้งสองคนจะรักกันตลอดไป
  • 10 ดอก แทนความหมายว่า เธอเป็นคนที่ดีเลิศที่สุด
  • 11 ดอก แทนความหมายว่า การเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดของฉัน
  • 12 ดอก แทนความหมายว่า การขอให้เธอเป็นคู่ฉัน
  • 13 ดอก แทนความหมายว่า ความเป็นเพื่อนแท้เสมอ (ซึ่งอีกนัยหนึ่งคือ การบอกปฎิเสธด้วยความรักอย่างเพื่อน)
  • 15 ดอก แทนความหมายว่า แทนความรู้สึกเสียใจจริง
  • 20 ดอก แทนความหมายว่า ความจริงใจต่อกัน
  • 21 ดอก แทนความหมายว่า ถึงการมอบชีวิตอุทิศให้
  • 36 ดอก แทนความหมายว่า ความทรงจำที่แสนหวานที่ยังมีต่อกัน
  • 40 ดอก แทนความหมายว่า ยืนยันว่าความรักเป็นรักแท้
  • 99 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันรักเธอจนวันตาย
  • 100 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
  • 101 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันมีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น
  • 108 ดอก แทนความหมายถึงการขอแต่งงานแบบอ้อมๆ ที่ผู้ให้ไม่กล้าพูด
  • 999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวินาทีสุดท้าย
  • 1,000 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอจนวันตาย
  • 9,999 ดอก แทนคำพูดที่ว่า ฉันจะรักเธอชั่วนิรันดร
เปตอง (ฝรั่งเศส: Pétanque [pe.tɑ̃k]) เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่เล่นโดยการโยนลูกบอลเหล็กให้เข้าใกล้ ลูกแก่น (cochonnet) ที่ทำจากไม้ให้มากที่สุด กีฬาชนิดนี้มักเล่นบนพื้นดินแข็งหรือพื้นกรวดละเอียด แต่ไม่เหมาะกับพื้นทราย
เปตองมีต้นกำเนิดจากประเทศกรีกตั้งแต่เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวฝรั่งเศสกว่า 17 ล้านคนนิยมเล่นกีฬาชนิดนี้ในยามว่าง
ประวัติศาสตร์เปตองในประเทศไทย มีผู้นำกีฬาเปตองเข้ามาเล่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518  และได้รับการสนับสนุนจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งทรงโปรดกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่เมื่อทรงประทับอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ทรงรับเป็นองค์อุปถัมภ์ และสนับสนุนให้มีการเล่นกีฬาเปตองในประเทศไทย
วิธีและเทคนิคการเล่นเปตอง
วิธีการจับลูกเปตอง 4 แบบ
  1. จับลูกเปตองแบบ 4 นิ้ว
  2. จับลูกเปตองแบบทั้ง 5 นิ้ว
  3. จับลูกเปตองแบบคีบ นิ้วโป้งอยู่ตรงข้ามกับนิ้วกลาง
  4. จับลูกเปตองแบบขยุ้ม เหมาะกับคนมือเล็ก

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Joyeux Noël

Noël est une fête chrétienne célébrant chaque année la naissance de Jésus de Nazareth, appelée Nativité. À l'origine, cette fête était païenne et existait sous des formes différentes pour marquer le solstice d'hiver.

Au XXIe siècle, Noël a toutefois retrouvé un large rôle païen. Elle est devenue une fête commerciale et un moment de l'année célébré, y compris par des non-croyants. Cette fête est caractérisée par un regroupement des cellules familiales autour d'un repas et d'un échange de cadeaux, particulièrement (mais pas seulement) à destination des enfants, qui dans plusieurs pays occidentaux associent ces cadeaux au personnage du Père Noël.

Noël est actuellement fixé au 25 décembre dans les calendriers grégorien et julien par la plupart des Églises.

Célébration

Sa célébration à la date du 25 décembre, se situe dans le calendrier julien pour les Églises orthodoxes, et dans le grégorien pour l'église catholique et protestante ; le jour de la saint Emmanuel, a été fixée tardivement dans l'empire romain d'Occident, vers le milieu du IVe siècle. Avant de la placer à la date d'une célébration solaire liée au solstice d'hiver[1], plusieurs dates furent proposées : 18 novembre, 6 janvier... Le 25 décembre marquait depuis Aurélien (v.270) l'anniversaire du Sol Invictus et de la renaissance annuelle de Mithra[2]. Pour des raisons symboliques, et dans un souci de christianiser les anciennes fêtes païennes, cette date fut progressivement étendue à tout l'Occident latin. Les Églises orthodoxes, qui ont conservé le calendrier julien, célèbrent Noël le 25 décembre de ce calendrier, ce qui correspond au 6 janvier du calendrier grégorien. Seule l'Église apostolique arménienne a conservé la date précise du 6 janvier comme jour de la fête de Noël[3].

Constituant avec Pâques une des grandes fêtes chrétiennes, Noël s'est progressivement chargé de traditions locales, mélanges d'innovations et de maintien de folklore ancien, au point de présenter l'aspect d'une fête profane populaire possédant de nombreuses variantes, dans le temps comme dans l'espace. L'association de la mémoire d'une naissance a facilité la place centrale prise par la famille dans le sens et le déroulement de cette fête. L'Église catholique romaine insiste par exemple sur cet aspect depuis l'instauration en 1893 de la fête de la Sainte Famille, le dimanche suivant le 25 décembre. Les cadeaux, sous forme d'étrennes, semblent être une réminiscence des cadeaux effectués lors des fêtes saturnales de décembre (strenae)[4].

Le don est présent dans de nombreuses traditions, comme celle de servir un repas au premier pauvre croisé au jour de Noël, ou dans l'exceptionnelle générosité des aumônes accordées aux mendiants à la sortie de l'office célébré durant la nuit de Noël. « La période de Noël, qui est très chargée cérémoniellement, possède une certaine intensité rituelle. Même si nous vivons fondamentalement dans une société marchande, il y a dans cet échange de cadeaux quelque chose qui est de l'ordre du don et qui est universel dans son principe: ils créent, maintiennent et consolident des liens ; ils constituent en quelque sorte une matrice du social[5].»

La popularité de cette fête a fait que Noël est devenu un patronyme et un prénom.